วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

คำแถลงนปช. กรณีที่ ปปช. มีมติให้ข้อกล่าวหากรณีนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกับพวก สลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.ตกไป




คำแถลงแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
กรณีที่ ปปช. มีมติให้ข้อกล่าวหากรณีนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกับพวก สลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.ตกไป

นปช.ขอคัดค้านมติปปช.ดังกล่าว และยืนยันว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดาและพวก ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยและมีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก  เป็นผู้ก่อให้มีการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผล  สมควรที่จะถูกดำเนินคดีไปจนถึงที่สุด เพื่อพิสูจน์ให้สังคมได้เห็นชัดเจนว่า “ใครกันแน่เป็นผู้สั่งฆ่าประชาชน” 
จะเกิดประโยชน์ยิ่งกว่าการทำให้ข้อกล่าวหาตกไป  ซึ่งรังแต่จะทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยและตั้งข้อกล่าวหากับปปช.และกระบวนการยุติธรรมให้เป็นจำเลยเสียมากกว่าว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีข้อกล่าวหาที่มีต่อ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ และพวก กรณี 7 ตุลาคม 2551

นอกจากการพิสูจน์ให้เกิดความชัดเจน และทำให้สังคมไว้วางใจ องค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรมแล้ว  ยังมีเหตุผลอื่นประกอบในการคัดค้านไม่เห็นด้วยกับมติปปช.ในครั้งนี้คือ

1. การอ้างคำพิพากษาศาลว่าการชุมนุมของกลุ่มนปช.มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553 

ปรากฏว่าเป็นการอ้างอิงที่ไม่ตรงกับเนื้อความในคำพิพากษาศาลดังกล่าว  แต่มีลักษณะตีความเองและเกินเลยกว่าคำพิพากษาศาล 
อีกทั้งคดีนี้ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 ขณะที่การชุมนุมและการบาดเจ็บล้มตายยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องกันมาจนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553

ปปช.จึงนำคำพิพากษาของศาลแพ่งฉบับดังกล่าวมากล่าวอ้างในมติโดยไม่ถูกต้อง  เป็นการเกินเลยไปกว่าเนื้อหาของคำพิพากษาจริงของศาลในวันที่ 22 เมษายน 2553 ดังกล่าว  และไม่ครอบคลุมสถานที่วันเวลาที่ยาวนานจนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553

ในด้านเนื้อหานั้น ข้อความในคำพิพากษาของศาลก็ระบุไว้ว่า “การเสียชีวิตเบื้องต้นในวันที่ 10 เมษายน 2553 ยังไม่ทราบว่าเป็นการกระทำของฝ่ายใด”

แม้จะยกคำร้องคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว แต่ศาลแพ่งก็ได้เตือนจำเลย คือนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะกับพวก ในการสลายการชุมนุมหรือขอคืนพื้นที่ให้ดำเนินการเท่าที่จำเป็นตามความเหมาะสมมีขั้นตอนตามหลักสากลจนกว่าจะมีคำพิพากษาอย่างอื่น   

แต่กลายเป็นว่าปปช.มีมติเลยเถิดว่า “การชุมนุมของนปช.มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปะปนอยู่ในที่ชุมนุม” ซึ่งไม่เป็นความจริง  

2.การอ้างว่า ศอฉ. มิได้ใช้กำลังผลักดันผู้ชุมนุม แต่ใช้มาตรการตั้งด่านตรวจหรือจุดสกัด ปิดล้อมภายนอกไว้โดยรอบ เพื่อให้ผู้ชุมนุมยุติไปเอง 

ในความเป็นจริงนั้น มีการสั่งการให้ใช้อาวุธสงคราม ในลักษณะพลซุ่มยิง ซึ่งมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายและคลิปวิดีโอเป็นจำนวนมาก 
การจัดตั้งพลซุ่มยิงจากที่สูง ส่งผลให้ประชาชนถูกยิงที่ศรีษะ เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก นับแต่วันที่ 10 เมษายน ถึง 19 พฤษภาคม 
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ยังมีการเล็งยิงประชาชน 6 ศพในวัดปทุมวนารามอันเป็นเขตอภัยทานจากบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสหน้าวัดปทุมฯ 

จนมีคำสั่งของศาลระบุชัดเจนว่า 6 ศพในวัดปทุมฯเป็นการตายจากการยิงของเจ้าหน้าที่ทหารบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ไม่มีการต่อสู้ของชายชุดดำกับเจ้าหน้าที่ และอาวุธที่ทาง ศอฉ.กล่าวอ้างว่าเป็นของนปช.หรือคนในวัดปทุมฯก็ไม่สามารถเชื่อถือได้  ผู้ตายไม่มีเขม่าดินปืน  ไม่พบการต่อสู้จากฝ่ายประชาชน

ซึ่งวารสารของกองทัพบก (เสนาธิปัตย์อันเป็นวารสารทางการของกรมยุทธศึกษากองทัพบก ในฉบับที่ 3 ประจำปีที่ 59 กันยายน-ธันวาคม 2553) เองยืนยันในข้อนี้ว่า 

"ยุทธการกระชับวงล้อมเมื่อ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นการปฏิบัติทางทหารเต็มรูปแบบ...คือการกระชับวงล้อมด้วยกระสุนจริง จากกำลังหน่วยรบหลักของเหล่าทหารราบ เหล่าทหารม้า และหน่วยส่งกำลังทางอากาศอย่างเช่น ร.31 รอ. ในภารกิจปฏิบัติการพิเศษ อาจเรียกได้ว่า เป็นการรบในเมืองที่ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารเต็มอัตราศึก ทั้งกำลัง อาวุธประจำกายที่ทันสมัย ชุดสไนเปอร์ หน่วยยานเกราะ ซึ่งการปรับกำลังและการเปลี่ยนแปลงทางยุทธวิธีที่สำคัญครั้งนี้ก็เป็นผลสะท้อนจากบทเรียนเมื่อ 10 เมษายน 2553 นั่นเอง"

“การปฏิบัติการทางยุทธวิธีที่ใช้เวลาทำงาน 9 ชั่วโมง (เวลา03.30น.-13.30น.) ถือว่าเป็นบทเรียนที่สำคัญยิ่งทางยุทธวิธีของการรบในเมือง ที่สมควรได้มีการบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการรบในเมือง”

จึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “การตั้งด่านให้ยุติการชุมนุมอง”ตามมติของปปช.ดังกล่าวข้างต้น

3.นอกจากนี้ แม้มีการรายงานการบาดเจ็บล้มตายตั้งแต่กลางวัน และเวลาที่ล่วงเลยมาเป็นลำดับจนถึงกลางคืน 

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกับพวกก็มิได้รีบสั่งให้มีการยกเลิกปฏิบัติการในทันที และการขอคืนพื้นที่ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ก็มิได้มีการกำหนดให้มีเวลายกเลิกการปฏิบัติการแต่อย่างใด 

การตายของประชาชนก็เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนบ่าย (ศพแรกที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการถนนราชดำเนินนอก) จนถึงดึกที่สี่แยกคอกวัวถนนตะนาวและถนนดินสอ 

นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะกับพวก ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะยังดื้อรั้นที่จะทำการปฏิบัติการสังหารประชาชนต่อเนื่องต่อไป จนเกิดการสูญเสียทั้งสองฝ่ายในเวลาต่อมา และนำไปสู่การตายเป็นจำนวนมากหลังจากผู้ถูกกล่าวหาได้ปรับยุทธวิธีเป็นการทำสงครามกลางเมืองกับผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธดังที่ยืนยันในวารสารเสนาธิปัตย์ข้างต้น
จึงตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่ปปช.ระบุไว้ในมติข้างต้น

4. การที่ยังคงสั่งการให้ใช้อาวุธสงครามกับประชาชนจนเป็นเหตุให้มีการสังหารประชาชน 6 ศพในวัดปทุมฯ (ปรากฏชัดตามคำสั่งศาลเรื่อง6ศพที่วัดปทุมฯ) ซึ่งเป็นเวลาที่แกนนำประกาศยุติการชุมนุมและเข้ามอบตัวไปแล้วเป็นเวลากว่าห้าชั่วโมง

โดยคำสั่งของศาลอาญาก็ยืนยันว่าประชาชนไม่ได้ใช้อาวุธโต้ตอบ ผู้ตายก็มิได้มีผู้ใดถืออาวุธ

ดังนั้น จึงเป็นคำถามว่า มติของปปช.ที่ยกข้อหากล่าวว่า “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกับพวก มีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผลเป็นความจริง ตามความหมายของ การปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก” เป็นมติที่ชอบหรือไม่?

สังคมไทยต้องการความชัดเจน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อย่างเท่าเทียมกัน ใช้มาตรฐานเดียวกัน มิใช่ เอาผิด หรือละเว้น การเอาผิด โดยถือว่าเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ใช่พวกเดียวกัน ทำให้ประชาชนหมดความเชื่อถือไว้วางใจ

การตาย สองศพ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เพื่อขัดขวางไม่ให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์เข้าทำหน้าที่ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเพื่อทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินต่อไปตามรัฐธรรมนูญ เมื่อ มาเปรียบเทียบกับ การตาย ร่วม 100 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน ใช้กระสุนจริงร่วมสองแสนนัด กระสุนสไนเปอร์กว่าสองพันนัด จากการดำเนินการของนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะกับพวก จะเห็นการเอนเอียงเข้าข้างพวกเดียวกันอย่างชัดเจน 

ประกอบกับมีคำสั่งศาลอาญาในเรื่องการตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 จำนวน 19ศพ ได้ยืนยันว่า ผู้ตาย ตายจาก กระสุนความเร็วสูงจากอาวุธสงคราม ของเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของศอฉ. และไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีอาวุธหรือปืน ไม่ปรากฏว่าผู้ตายยิงต่อสู้แม้แต่ศพเดียว ไม่ปรากฏว่ามีชายชุดดำที่ใช้อาวุธสงครามยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหารแต่ประการใด 

เหตุใด มติ ของ ปปช. ต่อสองกรณีนี้ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยมิได้กังวลใจว่าจะก่อให้เกิดความไม่พอใจในหัวใจของประชาชนและสังคมโดยทั่วไป

นปช.จึงขอยืนยันการไม่เห็นด้วยกับมติ ปปช.ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น เพราะไม่ปรารถนาจะเห็นกระบวนการยุติธรรมอันเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนต้องถูกทำลายไป

อันที่จริงเรื่อง การนำเอาผู้ที่ “สั่งฆ่าประชาชน”มาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมนั้น ยังไม่สิ้นสุดที่ชั้น ปปช. 

ในขณะนี้อัยการสูงสุดและครอบครัวผู้เสียชีวิตได้ทำการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ได้วินิจฉัยโดยมีเนื้อความว่า “ไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจศาลอาญา และต้องไปยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”โดยนำความเห็นต่างของอธิบดีศาลอาญาประกอบไปด้วย ดังนั้นคดีจึงอยู่ในระหว่างการพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์

เราจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าศาลชั้นสูงจะได้อำนวยความยุติธรรมให้กับประเทศและประชาชนเพื่อนำสันติภาพและความสงบสุขกลับคืนสู่ประเทศไทย

30 ธันวาคม 2558