วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

'พริษฐ์' โพส วิกฤตด้านทักษะของคนไทย ใหญ่เกินกว่าที่มาตรการ Upskill-Reskill ของคนละครึ่งพลัสจะแก้ได้ แต่แนวคิด “จ้างคนไปเรียนหรือฝึกทักษะ” เป็นนโยบายที่รัฐบาลชุดถัดไปควรพิจารณาลงทุนอย่างจริงจัง

 


'พริษฐ์' โพส วิกฤตด้านทักษะของคนไทย ใหญ่เกินกว่าที่มาตรการ Upskill-Reskill ของคนละครึ่งพลัสจะแก้ได้ แต่แนวคิด “จ้างคนไปเรียนหรือฝึกทักษะ” เป็นนโยบายที่รัฐบาลชุดถัดไปควรพิจารณาลงทุนอย่างจริงจัง 


วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน(ปชน.) โพสต์เฟซบุ๊ก “พริษฐ์ วัชรสินธุ – ไอติม – Parit Wacharasindhu” เนื้อหาระบุว่า


เช้าวันนี้ ทาง ครม. เศรษฐกิจ มีมติเห็นชอบโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 1.5 ที่ประกาศว่าจะมีการเติมเงินให้กับร้านค้าที่ไป “เรียน” หรือ upskill reskill ตนเองผ่านวิธีการที่รัฐบาลกำหนด


การยกระดับทักษะ หรือ Upskill Reskill คน เป็นโจทย์สำคัญของประเทศ ที่ผมเพิ่งได้มีโอกาสไปนำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบาย ในงาน Work Life Festival 2025 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา


ทุกคนทราบดีถึงความหนักหนาสาหัสของวิกฤตเรื่องทักษะในประเทศไทย - รายงานที่ธนาคารโลกจัดทำร่วมกับ กสศ. ระบุไว้อย่างน่าตกใจว่า:

- 74% ของเยาวชนและคนวัยทำงาน มีทักษะดิจิทัล ต่ำกว่าเกณฑ์พื้นฐาน (เช่น ไม่สามารถค้นหาราคาสินค้นในเว็บขายของออนไลน์ได้)

- 65% ของเยาวชนและคนวัยทำงาน มีทักษะการรู้หนังสือ ต่ำกว่าเกณฑ์พื้นฐาน (เช่น ไม่สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในฉลากยาได้)


อย่างไรก็ตาม การคาดหวังให้คนวัยทำงานอยู่ดีๆหันมายกระดับทักษะตนเองเป็นเรื่องที่ยาก เพราะเขาไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายในรูปแบบของ “ค่าเรียน” แต่พวกเขายังต้องเสีย “ค่าเสียโอกาส” ในรูปแบบของรายได้ที่หดหายไปจากการที่เขาอาจต้องเจียดเวลาทำงานเสริมบางส่วน มาใช้กับการเรียน


ด้วยเหตุนี้ บางประเทศจึงเริ่มเห็นว่า หากรัฐต้องการจูงใจให้คนมาหันมายกระดับทักษะตนเอง รัฐอาจมีความจำเป็นต้องชดเชยค่าเสียโอกาสดังกล่าวโดยการ “จ้างคนไปเรียน” หรือ “จ้างคนไปฝึกทักษะ”


ผมเชื่อว่าหลักคิด “จ้างคนไปเรียน” นี้ น่าจะอยู่เบื้องหลังมติที่ประชุม ครม. เศรษฐกิจ เมื่อเช้าวันนี้ เกี่ยวกับโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 1.5 ที่ประกาศว่าจะมีการเติมเงินในอัตราสูงสุดที่ 2,000 บาท ให้กับร้านค้า 400,000 ราย ที่ไป “เรียน” หรือ upskill reskill ตนเองผ่าน 1 ใน 3 วิธี ตามที่รัฐบาลกำหนด


ในมุมหนึ่ง ด้วยข้อจำกัดของกรอบเวลาและงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในส่วนของการฝึกทักษะครั้งนี้ เราคงคาดหวังได้ยากว่ามาตรการดังกล่าวที่เป็นส่วนเสริม (หรือ add-on) ของโครงการคนละครึ่งพลัส จะนำไปสู่การยกระดับทักษะครั้งใหญ่ได้:


- เช่น 2 ใน 3 วิธี ที่ร้านค้าทำได้เพื่อได้รับ 2,000 บาท คือการไป “เรียน” หลักสูตรอบรมออนไลน์ แต่ร้านค้าถูกจำกัดไว้ว่าจะต้องเรียนเฉพาะหลักสูตรที่ถูกกำหนดไว้ในแพลตฟอร์มของธนาคารออมสินและของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้ผู้เรียนไม่ได้มีโอกาสเลือกเรียนจากหลักสูตรที่หลากหลายเพียงพอ

- เช่น แนวทางการส่งเสริมให้ร้านค้าสามารถนำทักษะที่เรียนไปใช้ต่อได้จริงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแนวทางการประเมินผลสัมฤทธิ์จากโครงการ ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนในประกาศเบื้องต้น (ซึ่งคงต้องรอดูรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป)


แต่ในอีกมุมหนึ่ง แนวคิดเรื่องการ “จ้างคนไปเรียน” เป็นแนวทางที่ผมเห็นว่าทุกพรรคการเมืองและรัฐบาลชุดต่อไปหลังจากการเลือกตั้ง ควรพิจารณาอย่างจริงจัง เพื่อออกแบบนโยบายในการยกระดับทักษะคนไทย


ตัวอย่างนโยบายหนึ่งที่น่าสนใจในการจ้างคนไปเรียนเพื่อแก้วิกฤตด้านทักษะ คือโครงการ Prakerja ของประเทศอินโดนีเซีย


เพื่อจูงใจให้คนไปยกระดับทักษะตนเอง รัฐบาลอินโดนีเซียใช้วิธีอุดหนุนงบรายหัวให้กับกลุ่มประชากรเป้าหมายของเขา โดยแบ่งเงินอุดหนุนเป็น 2 ส่วน


1. เงินอุดหนุน “ค่าเรียน” ในรูปแบบของ “คูปอง” ที่ผู้เรียนสามารถนำไปเลือกใช้ได้กับ 6,900+ คอร์สทักษะในตลาดที่เข้าร่วมโครงการและผ่านเกณฑ์การคัดกรองคุณภาพ


2. เงินอุดหนุน “ค่าเสียโอกาส” ในรูปแบบของ “เงินสด” ที่ผู้เรียนจะได้รับเมื่อเรียนจบ (พูดง่ายๆคือ “ค่าจ้างคนมาเรียน”)


สิ่งที่น่าสนใจคือสัดส่วนเงินอุดหนุนรายหัวระหว่าง 2 ส่วนนี้ ใน 2 ช่วงหรือเฟสของโครงการ ไม่เท่ากัน


- เฟส 1 (2020-22): คูปองค่าเรียน = 2,300 บาท (30%) vs. เงินสดหลังเรียนจบ = 5,500 บาท (70%)

- เฟส 2 (2023): คูปองค่าเรียน = 8,000 บาท (85%) vs. เงินสดหลังเรียนจบ = 1,375 บาท (15%)


ตอนผมได้พูดคุยกับผู้บริหารโครงการดังกล่าวที่อินโดนีเซียเมื่อปีที่แล้ว เขาเล่าให้ฟังว่าเหตุผลหนึ่งที่การแบ่งสัดส่วนเงินอุดหนุนรายหัว แตกต่างกันระหว่าง 2 เฟส เป็นเพราะว่า:

- ในตอนแรก ประชาชนไม่เชื่อมั่นว่าพอสละเวลามาเรียนแล้ว จะทำให้เขาหางานได้เร็วขึ้นหรือรายได้เขาสูงขึ้น รัฐจึงจำเป็นต้องชดเชยค่าเสียโอกาสหรือให้ค่าจ้างคนมาเรียนในอัตราที่สูง

- แต่พอผลลัพธ์ของเฟสแรกสะท้อนให้เห็นว่าการมาฝึกทักษะส่งผลต่อรายได้ของผู้เรียนได้จริง รัฐจึงสามารถโอนงบรายหัวบางส่วนที่เคยต้องใช้จ้างคนเรียน มาเติมเป็นงบรายหัวในส่วนของคูปองค่าเรียน เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเรียนและฝึกทักษะได้มากขึ้น



โจทย์เรื่องการยกระดับทักษะเป็นโจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจประเทศ และควรเป็นโจทย์ใหญ่ของการเลือกตั้งที่จะมาถึง


แม้มาตรการเสริมเรื่อง Upskill Reskill ของโครงการคนละครึ่งพลัส อาจนับเป็นการทดลองแนวคิด “จ้างคนไปเรียน” ที่เราต้องคอยตรวจสอบและประเมินผลลัพธ์…


…แต่หากเราจะแก้วิกฤตด้านทักษะของประเทศได้จริง รัฐจำเป็นต้องลงทุนครั้งใหญ่ในนโยบาย Reskill Upskill ซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงไปจากแนวนโยบายที่ผ่านมา ทั้งในเชิง “ปริมาณ” และ “วิธีการ” ในการลงทุน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน