“ณัฐพงษ์” เตือนสตินายกฯ
ท่าทีพร้อมฉีกสัญญาสันติภาพกัมพูชากำลังทำไทยเสียเปรียบบนเวทีโลก ชี้โหนกระแสชาตินิยมเพื่อปกป้องคะแนนนิยมทางการเมืองของตัวเอง-เบี่ยงประเด็นออกจากสแกมเมอร์-ทุนเทา
แทนที่จะระดมโลกล้อมกัมพูชา
วันที่
14 พฤศจิกายน 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ ณัฐพงษ์
เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
แถลงข่าวกรณีท่าทีของรัฐบาลไทยในการจัดการสถานการณ์ความขัดแย้งล่าสุดระหว่างไทยและกัมพูชา
หลังเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดของทหารไทยและการปะทะระหว่างทั้งสองฝ่าย
โดยณัฐพงษ์ระบุว่าตนขอแสดงความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ
จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ จากเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดที่ผ่านมา
และขอประณามทุกการกระทำที่เป็นการลักลอบวางระเบิดสังหารบุคคลใหม่
ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ และข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชาในหลายประการ
อย่างไรก็ตาม
เมื่อคืนกลางดึกที่ผ่านมาได้มีรายงานข่าวจากสำนักข่าวเบอนามา
ซึ่งเป็นสื่อหลักของประเทศมาเลเซีย
ถึงการให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของมาเลเซีย
ว่ายังคงเชื่อมั่นและหวังว่าการพูดคุยสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชาจะยังคงเดินหน้าต่อไป
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า
การแสดงท่าทีของนายกรัฐมนตรีว่าไทยจะไม่สนใจข้อตกลงสันติภาพนี้อีกต่อไปแล้ว
หลังเกิดเหตุระเบิดขึ้นในวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ตนมีความกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นท่าทีที่ขาดความละเอียดรอบคอบ
อาจทำให้ประเทศไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เพราะไทยกลายเป็นฝ่ายด่วนประกาศระงับข้อตกลงสันติภาพนี้เสียเอง
แทนที่จะใช้โอกาสนี้ในการตอกย้ำถึงพฤติกรรมที่ชั่วร้ายของกัมพูชา และขอระดมความร่วมมือจากทั่วโลกในการกดดันกัมพูชาอย่างเข้มข้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการปราบปรามสแกมเมอร์
การที่กัมพูชาวางทุ่นระเบิดสังหารใหม่จนทำให้ทหารไทยเสียขาเป็นพฤติกรรมที่ร้ายแรง
คุกคามต่อสันติภาพระหว่างสองประเทศ เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้
แต่แทนที่จะประกาศฉีกสัญญาสันติภาพนี้เสียเอง
นายกรัฐมนตรีควรแสดงออกด้วยการต่อสายตรงถึงตัวแทนจากประเทศต่างๆ เช่น มาเลเซีย
ให้ทราบถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หรือการต่อสายตรงถึงผู้นำสหรัฐอเมริกา
ในฐานะสักขีพยานข้อตกลงสันติภาพนี้
เพื่อขอให้สหรัฐอเมริกาพิจารณาตัดความร่วมมือทางการทหารต่อกัมพูชา
รวมถึงการใช้มาตรการกดดันอื่นๆ เช่น
มาตรการทางภาษีเพื่อทำให้กัมพูชายุติพฤติกรรมที่ชั่วร้ายเหล่านี้ในทันที
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าจากท่าทีของนายกรัฐมนตรีในตอนนี้
ตนมีข้อกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้ประเทศไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ผู้สังเกตการณ์อาเซียนและนานาประเทศยังรับทราบข้อมูลไม่ตรงกับทางการไทย
โดยสิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบประกอบด้วย 5 ประการหลัก
คือ
1)
ประเทศไทยเป็นฝ่ายประกาศระงับข้อตกลงสันติภาพนี้ก่อน
ซึ่งเป็นข้อตกลงที่กำลังทำให้กัมพูชาเสียเปรียบประเทศไทยทุกประตู
ไม่ว่าจะเป็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมถึงการปราบปรามสแกมเมอร์
2)
แทนที่ประเทศไทยจะเป็นฝ่ายแจ้งสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนก่อนถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
แต่นายกรัฐมนตรีกลับปล่อยปละละเลยเวลาให้ผ่านออกไป
จนกลายเป็นรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียเองที่แสดงบทบาทเตือนทั้งไทยและกัมพูชาก่อนเองว่าอย่าละเมิดข้อตกลงสันติภาพ
3)
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 4 วันนี้
กัมพูชาได้อาศัยการแสดงท่าทีของนายกรัฐมนตรีไทยในการกลับไปเล่นบทบาทเดิม
นั่นคือการปฏิบัติการยั่วยุและการสร้างข่าวเพื่อสร้างความเกลียดชังในเวทีโลก
โดยใช้โครงเรื่องเดิมที่กัมพูชาทำมาโดยตลอด
คือการเล่นบทเหยื่อและสร้างภาพว่าประเทศไทยกำลังรังแกประเทศที่ด้อยกว่า
4)
กัมพูชามีที่ยืนในเวทีโลกเพิ่มขึ้นจากการแสดงท่าทีของนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาจากการเล่นบทเหยื่อ
ทั้งที่ก่อนหน้านี้กัมพูชากำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบประเทศไทยทุกประตู
โลกกำลังล้อมกัมพูชาในเรื่องการปราบสแกมเมอร์
ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่กำลังหล่อเลี้ยงรัฐบาลฮุนเซน
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าขณะที่ฮุนเซนกำลังเข้าตาจน
ถูกโลกล้อมด้วยประเด็นสแกมเมอร์
การแสดงท่าทีของนายกรัฐมนตรีกำลังทำให้สังคมถูกเบี่ยงเบนความสนใจออกจากปัญหาดังกล่าว
ซึ่งรัฐบาลกำลังถูกตั้งคำถามว่าทำไมจึงไม่จัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ผนวกกับก่อนหน้านี้มีกรณีที่บุคคลในคณะรัฐมนตรี เช่น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ประกาศลาออกลาออกจากตำแหน่ง
ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองก็ได้พูดต่อสาธารณะว่าเป็นคนร้องขอให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังออกจากตำแหน่งเอง
แต่นายกรัฐมนตรีกลับปล่อยปละละเลย ไม่ได้ร้องขอบุคคลอื่นๆ อย่างเช่นรองนายกรัฐมนตรี
ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่อาจมีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มทุนเทาต่างๆ
เมื่อเกิดกรณีเกี่ยวกับทุ่นระเบิดขึ้น
แทนที่นายกรัฐมนตรีจะเร่งดำเนินการในปฏิบัติการให้โลกล้อมกัมพูชา
ทั้งการละเมิดสัญญาสันติภาพและการผนึกกำลังกับนานาชาติในการปราบปรามสแกมเมอร์
ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้เปรียบกัมพูชาในทุกประตู ทั้งในเรื่องความมั่นคงชายแดนและการปราบปรามทุนสีเทา
นายกรัฐมนตรีกลับเลือกโหนกระแสชาตินิยมเพื่อปกป้องคะแนนนิยมของตัวเอง
และกลบเกลื่อนการจัดการปัญหาสแกมเมอร์และขบวนการฟอกเงินที่กำลังกระทบรัฐบาลในขณะนี้
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าหากรัฐบาลยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง
ยังมีอีกหลายมาตรการที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้เพื่อจัดการปัญหาไทย-กัมพูชา
หยุดการคุกคามสันติภาพและความมั่นคงของไทยอย่างเด็ดขาด
แทนการออกมาประกาศว่าพร้อมที่จะฉีกข้อตกลงสันติภาพนี้ คือ
1)
การพูดคุยโดยตรงกับผู้นำสหรัฐอเมริกาและจีน
ให้พิจารณาตัดการสนับสนุนทางการทหารและเศรษฐกิจต่อกัมพูชา
เพื่อจบปัญหาสแกมเมอร์อันเป็นภัยต่อประชาชนทั้งโลก รวมถึงจีนและสหรัฐอเมริกา
2) ไทยควรตั้งผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับนานาชาติในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานด้านการปราบปรามสแกมเมอร์ เช่นเดียวกับการพิจารณาเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ International Anti-Corruption Coordination Centre (IACCC) เพื่อประสานให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาร่วมสืบสวนในกรณีดังกล่าวในประเทศไทยได้
3)
สิ่งที่รัฐบาลไทยสามารถดำเนินการได้ทันทีคือการอายัดทรัพย์และสืบเส้นเงินเครือข่ายสแกมเมอร์ในประเทศไทย
เพื่อสาวถึงต้นตอของผู้บงการ
ไม่ใช่การจับเพียงปลาตัวเล็กตัวน้อยเพื่อรักษาภาพของรัฐบาลต่อไปอย่างเดียวเท่านั้น
สิ่งที่ไทยต้องการตอนนี้คือการรักษาความน่าเชื่อถือของประเทศว่าไม่ใช่แหล่งฟอกเงินหรือแหล่งทุนเทา
ที่เป็นปัญหาหลอกลวงคนทั่วโลกอยู่ในปัจจุบัน
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า
ประเทศไทยในวันนี้ตกอยู่ในความเสี่ยงหลายประการ
จากการแก้ไขปัญหากัมพูชาที่รัฐบาลไม่ได้สนใจผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวตั้ง
แต่ยึดคะแนนนิยมการเมืองเป็นที่ตั้ง
ไทยตกเป็นจำเลยว่ากำลังเป็นแหล่งฟอกเงินให้กับสแกมเมอร์
ตกเป็นจำเลยสงครามข่าวของกัมพูชาว่าไทยกำลังรังแกประเทศเล็ก
ให้ข้อมูลทุ่นระเบิดที่ไม่ตรงกับผู้สังเกตการณ์นานาชาติ
และเสี่ยงถูกทุนเทาเข้ายึดประเทศผ่านการฟอกเงินมาทำธุรกิจในประเทศไทย
การติดสินบนข้าราชการ ไม่เว้นแม้แต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของตำรวจ
และผ่านการสนับสนุนเงินให้บรรดานักการเมืองที่มีอำนาจกำหนดนโยบายในระดับประเทศ
ประเทศไทยในปัจจุบันต้องการนายกรัฐมนตรีที่แสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะ
ตอบโต้อย่างมีสติและได้สัดส่วน
และยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นตัวตั้งมากกว่าการรักษาคะแนนความนิยมของตัวเอง
ตนขอเรียกร้องดึงสตินายกรัฐมนตรีให้กลับมา และเร่งดำเนินการทั้ง 3 มาตรการข้างต้นในทันที
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า
วิธีที่จะกดดันให้มีการกลับเข้าสู่การเจรจาแบบทวิภาคีที่มีประสิทธิภาพ
คือต้องมีมาตรการในการกดดันกัมพูชาในหลายด้าน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์
หรือการที่ไทยยึดมั่นในหลักการข้อตกลงสันติภาพ
ไม่ให้เข้าทางกัมพูชาที่พยายามปั่นข่าวว่าไทยเป็นประเทศใหญ่รังแกประเทศเล็ก
และนายกรัฐมนตรีจะต้องระบายความโกรธของตัวเองและแสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะในการต่อสายตรงถึงนานาชาติ
โดยเฉพาะประเทศที่มีอิทธิพลเหนือกัมพูชาอย่างเช่นจีนและสหรัฐอเมริกา
ให้ประเทศเหล่านั้นทำการกดดันกัมพูชา หยุดการละเมิดข้อตกลงสันติภาพและข้อตกลงระหว่างประเทศ
หยุดการใช้ทุ่นระเบิด
และกดดันให้กัมพูชากลับเข้าสู่กลไกในการเจรจาแบบทวิภาคีเพื่อหาทางออกร่วมกัน
มาตรการในการสื่อสารต้องชัด
เร็ว และถูกต้องแม่นยำ
การที่นายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกมาสื่อสารแทนตัวเองเป็นประจำทุกวันไม่ได้ผิดหลักการอะไร
แต่สิ่งที่พลาดคือการที่นายกรัฐมนตรีออกมาประกาศด้วยตัวเองในฐานะผู้นำประเทศว่าพร้อมที่จะฉีกข้อตกลงสันติภาพ
ซึ่งเป็นการแสดงออกที่ขาดวุฒิภาวะ ขาดความเหมาะสมด้วยสัดส่วน
และทำให้ประเทศไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในกรณีดังกล่าว
ณัฐพงษ์ยังกล่าวว่าข้อตกลงสันติภาพที่เกิดขึ้นที่กัมพูชาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ประกอบด้วยเรื่องการลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ ซึ่งเป็นการผิดข้อตกลงระหว่างประเทศ
และเรื่องสแกมเมอร์ ดังนั้น
สิ่งที่นายกรัฐมนตรีควรจะดำเนินการในการแก้ไขปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาได้อย่างมีประสิทธิภาพและไทยไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
อย่างไรก็ต้องยึดหลักกลับมาในกติกาสากลหรือข้อตกลงสันติภาพ
ที่ประเทศไทยเองได้ทำเอาไว้ โดยมีสหรัฐอเมริกาหรือประเทศมหาอำนาจต่างๆ
เป็นพยานร่วมกัน
แทนที่จะประกาศฉีกข้อตกลงนี้เองโดยการโหนกระแสชาตินิยมในการปกป้องคะแนนนิยมทางการเมืองของตัวเอง
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ชายอดนไทย #กัมพูชา #ทุนเทา #สแกมเมอร์
