วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

“สุรเชษฐ์” ดักคอรัฐบาลอนุทินตั้งท่าขยายสัมปทานทางด่วนข้ามศตวรรษ หวังเก็บกระสุนเตรียมเลือกตั้งหรือไม่ ยก 4 เหตุผลไม่เห็นด้วย เอาเรื่องลดค่าทางด่วนมาบังหน้า แท้จริงเจตนาเอื้อนายทุน

 


“สุรเชษฐ์” ดักคอรัฐบาลอนุทินตั้งท่าขยายสัมปทานทางด่วนข้ามศตวรรษ หวังเก็บกระสุนเตรียมเลือกตั้งหรือไม่ ยก 4 เหตุผลไม่เห็นด้วย เอาเรื่องลดค่าทางด่วนมาบังหน้า แท้จริงเจตนาเอื้อนายทุน


วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลงข่าวจุดยืนของพรรคประชาชนคัดค้านกรณีที่รัฐบาลมีความพยายามขยายสัญญาสัมปทานโครงการก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) ช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 ที่ดำเนินการโดยบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ออกไป จากเดิมจะหมดสัมปทานในปี 2578 ขยายอีก 22 ปี 5 เดือน ไปสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2601


โดยสุรเชษฐ์กล่าวว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเร็วๆ นี้ว่ากระทรวงคมนาคมเร่งหาแนวทางในการลดค่าทางด่วนทุกเส้นทางภายในสิ้นปี 2568 สูงสุดไม่เกิน 50 บาท เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ทั้งนี้ไม่รวมโครงการทางพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ซึ่งตนต้องตั้งคำถามว่านี่เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย แม้ได้ค่าทางด่วนถูกลงแต่ต้องแลกด้วยอะไร คุ้มหรือไม่ที่จะแลก เรื่องนี้เป็นของขวัญที่ดีให้ประชาชนหรือเป็นภาระของลูกหลานในอนาคตจนมากเกินควรกันแน่


ความพยายามขยายสัมปทานทางด่วนนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาตั้งแต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2562 โดยแบ่งเป็น 2 ก้อน ก้อนแรกคือขณะนั้นสัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 ใกล้จะหมดสัญญาสัมปทาน แต่เอกชนมีความพยายามจะขยายสัมปทานออกไป อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลาสัมปทาน มีการฟ้องร้องกันเรื่อยมาระหว่างรัฐกับเอกชน แต่แทนที่จะต่อสู้กันตามกระบวนการปกติในชั้นศาลโดยพิจารณาเป็นรายคดี รัฐบาลในเวลานั้นกลับไม่ทำ กลับนำข้อพิพาทต่างๆ มาเจรจายอมความ โดยให้เอกชนได้ขยายสัญญาสัมปทานเพิ่มไปฟรี ๆ 15 ปี 8 เดือน หรือที่เรียกว่า “ค่าแกล้งโง่” ทำให้สัญญาสัมปทานที่กำลังจะหมดในปี 2563 ขยายไปเป็นปี 2578 โดยขณะนั้นตนในฐานะ สส. พรรคอนาคตใหม่เป็นฝ่ายค้านและเป็นเสียงข้างน้อยในสภาฯ จึงหยุดเรื่องนี้ไม่สำเร็จ


ก้อนที่สองคือการขยายสัมปทานเพื่อแลกกับการสร้าง Double Deck หรือทางด่วนชั้นที่ 2 บนทางด่วนขั้นที่ 2 ซึ่งพวกตนไม่เห็นด้วยเช่นกัน โดยในช่วงปี 2562-2563 รัฐบาลตอนนั้นให้เลื่อนโครงการ Double Deck ไปพิจารณาแยก ต่อมาปี 2567 ในรัฐบาลเพื่อไทย ก็มีการโฆษณาว่าจะให้ของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนด้วยการลดค่าทางด่วนเช่นกัน จากวันนั้นมาถึงวันนี้ ความพยายามในการลดค่าทางด่วนเพื่อขยายสัมปทานแลกกับการสร้าง Double Deck ก็ยังอยู่ เพราะเบื้องหลังเรื่องนี้ยังเป็นคนหน้าเดิมๆ นายทุนเจ้าเดิมๆ ที่เข้าได้กับทุกรัฐบาลและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง 


โดยในวันแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล มีการโฆษณาว่าจะลดรายจ่ายให้ประชาชนด้วยการลดค่าผ่านทาง ซึ่งตนได้ตั้งคำถามต่อ รมว.คมนาคม ตั้งแต่วันนั้นว่าเป้าหมายที่แท้จริงไม่ได้ต้องการลดราคาทางด่วนให้ประชาชน แต่คือการหาเรื่องขยายสัมปทานใช่หรือไม่ แต่รัฐมนตรีไม่ยอมตอบ แล้ววันนี้เอาเรื่องลดค่าทางด่วน 50 บาทมาบังหน้า แต่ประเด็นที่ไม่ได้ถูกตั้งคำถามเลยคือมีความคุ้มค่าจริงหรือที่เราต้องจ่ายเงินเข้ากระเป๋านายทุนนานขึ้น เพราะถ้าได้ผลประโยชน์ลดลงนายทุนคงไม่ยอมเซ็นแน่


“เรื่องนี้ประชาชนจึงเดือดร้อนไม่รู้ตัว แม้ค่าทางด่วนลดลงบ้างในวันนี้แต่ต้องจ่ายไปอีกนานขึ้นมาก และถือเป็นการแช่แข็งการพัฒนา เพราะรัฐบาลในอนาคตอาจมีนโยบายดีๆ เช่นลดค่าทางด่วนในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งมีรถวิ่งน้อย หรือให้ขึ้นทางด่วนฟรีก็ไม่สามารถทำได้ เพราะติดสัญญาสัมปทานกับเจ้าเดิม โดยไม่มีการแข่งขัน เราจะอยู่กันไปแบบนี้เรื่อยๆ หรือ ผมเชื่อว่ามีเอกชนเจ้าอื่นที่อยากเข้ามาแข่งขัน และรัฐอาจได้รับข้อเสนอที่ดีกว่าปัจจุบันด้วย”


สุรเชษฐ์กล่าวต่อว่า หลักการของสัมปทานคือสัมปทานหมดแล้วควรหมดเลย การขยายออกไปยิ่งเอื้อให้เอกชนได้กำไรเกินควร ยกตัวอย่างเช่นในปีแรกๆ ของการก่อสร้างทางด่วน เอกชนก็ต้องกู้เงินและเป็นผู้แบกค่าใช้จ่ายหลัก แต่ปีต่อๆ มาเมื่อคนใช้ทางด่วนมากขึ้นและรายจ่ายค่าซ่อมบำรุงของเอกชนคงที่ ในปีต่อๆ ไปกำไรจะยิ่งมากขึ้น ดังนั้น หากรัฐตกลงกับเอกชนให้หากำไรได้ที่ 30 ปีก็ควรจบตามนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือหาเหตุจะขยายสัมปทานไปถึงปี 2601 


“ค่าผ่านทางวันนี้ถูกหรือแพงเกินไป เป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ แต่ที่รัฐไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ก็เพราะติดเงื่อนไขในสัญญาสัมปทาน ต้องตั้งคำถามว่าผู้บริหารการทางพิเศษฯ ชงเรื่องนี้เพื่อใคร ใครเป็นคนแต่งตั้งผู้บริหารการทางฯ และสิ่งที่กำลังดันกันอยู่นี้ เพื่อประชาชนหรือเพื่อนายทุนกันแน่”


สุรเชษฐ์กล่าวว่า โดยสรุปจุดยืนพรรคประชาชนคัดค้านเรื่องนี้ด้วยเหตุผล 4 ข้อ


(1) ไม่คุ้มค่า: ประชาชนจ่ายถูกลงนิดหน่อย แต่ต้องจ่ายลากยาวข้ามศตวรรษ


(2) ไม่โปร่งใส: เมื่อกรรมาธิการติดตามงบประมาณฯ ที่ตนเป็นประธาน พยายามขอข้อมูลในรายละเอียดของโครงการ Double Deck หน่วยงานก็ไม่ให้ บอกว่าต้องรอ ครม. อนุมัติก่อน แต่ถึงวันนั้นจะมีประโยชน์อะไร เพราะถ้า ครม. อนุมัติไปแล้ว รัฐบาลใหม่เข้ามาก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะถ้าไปยกเลิก รัฐก็ต้องเสียค่าโง่ 


“ผมได้ข้อมูลจากข้าราชการ ว่ามีวาระลับในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (บอร์ด PPP) เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 อยากให้สื่อมวลชนช่วยกันจี้ถามทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ว่าในวันนั้นมีวาระเรื่องขยายสัมปทานทางด่วนอยู่ด้วยหรือไม่ แล้วมติคืออะไร เพราะถ้าหลุดจากบอร์ด PPP มาได้ ทางก็ฉลุยเข้า ครม. ได้เลย” 


(3) ไม่ได้ดีจริง: โครงการ Double deck ไม่ได้แก้ปัญหารถติด หรือต่อให้ใครคิดว่าโครงการนี้ดีจริงก็ควรรอให้หมดสัมปทานก่อนแล้วเปิดประมูลให้มีการแข่งขัน อีกทั้งโครงการนี้ มูลค่าการลงทุนราว 34,800 ล้านบาท เป็นการสร้างทางด่วนชั้นที่สองคร่อมทางด่วนขั้นที่สอง ไม่ได้ลงสู่พื้นราบโดยตรง โครงการนี้จึงเป็นเหมือนการเพิ่มพื้นที่จอดรถบนอากาศ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหารถติดบนทางด่วน และการลงทุนก็แพงมาก เฉลี่ยกิโลเมตรละ 2,047 ล้านบาท สูงกว่างบลงทุนของ อบจ. ทั้งจังหวัดด้วยซ้ำ


(4) ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลนี้: นี่มันรัฐบาล 4 เดือน ไม่ควรเจรจาซุปเปอร์ดีลแสนล้านอันนำมาซึ่งผลผูกพันต่อคนรุ่นหลังไปอีกแสนนาน ประเด็นนี้สำคัญต่อความชอบธรรมทางการเมือง การตัดสินใจดีลใหญ่เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ เพราะรัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลตาม MOA จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 แต่กำลังคิดจะสร้างภาระให้ประชาชนไปถึงปี 2601 รัฐบาลควรเอาเหตุผล ตัวเลข ข้อเท็จจริงมาเปิดเผยและถกเถียงให้ตกผลึกก่อน แล้วให้รัฐบาลหน้าที่มีความชอบธรรมทางการเมืองมาจากการเลือกตั้งของประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจ


ข้อเสนอของพรรคประชาชน คือรัฐบาลต้องหยุดหาเรื่องขยายสัมปทานไปเรื่อย เน้นแก้ปัญหารถติดให้ถูกจุด ไม่จำเป็นต้องรีบทำ Double Deck แต่ควรรอให้หมดสัมปทานก่อนแล้วค่อยคิดแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น อาจเปลี่ยนระบบการเก็บเงินบนทางด่วนเป็นแบบ Distance-based วิ่งใกล้จ่ายน้อย วิ่งไกลจ่ายมาก หรือ Time-dependent กล่าวคือช่วงกลางคืนคนใช้ทางด่วนน้อยอยู่แล้ว อาจให้ใช้ทางด่วนฟรีหรือเก็บราคาถูกเพื่อให้ประชาชนสะดวกและปลอดภัยมากขึ้นโดยรัฐไม่ได้เสียอะไรเพิ่มเลย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำไม่ได้เลยถ้ายังขยายสัมปทานให้เอกชนเจ้าเดิมอยู่แบบนี้


“เรายังมีหลายทางเลือกที่ทำได้โดยไม่ต้องเอื้อนายทุน รัฐบาลอย่าเร่งอนุมัติเรื่องใหญ่เพื่อเก็บกระสุนไปเลือกตั้ง เรื่องที่ผูกพันเป็นภาระยาวนานเช่นนี้ ต้องรอรัฐบาลหลังการเลือกตั้งมาตัดสินใจ โดยช่วงเลือกตั้ง ควรให้แต่ละพรรคนำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาเพื่อมาแข่งขันกัน แล้วให้ประชาชนเลือก“


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ทางด่วนชั้นที่2