“พริษฐ์” แจงปม กมธ.แก้ รธน.สะดุด
ปัดใช้เสียงข้างมากลากไปตามร่างพรรคประชาชน แต่ทุกฝ่ายต้องหาจุดร่วม ย้ำ 12
พ.ย. นี้ต้องได้ข้อสรุป
วันที่
10 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.15 น.ที่รัฐสภา
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ฐานะกรรมาธิการ (กมธ.)
พิจารณารัฐธรรมนูญ (แก้ไขเพิ่มเติม) รัฐสภา
ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการประชุมกมธ.แก้รัฐธรรมนูญที่สะดุดซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่า
พรรคประชาชนพยายามควบคุมให้เป็นไไปตามโมเดลที่เสนอ ว่า ไม่ได้เป็นธงแบบนั้น
แต่แน่นอนว่าแต่ละฝ่ายมีความเห็นว่าข้อดีของร่างแก้รัฐธรรมนูญที่เสนอเป็นอย่างไร
ยิ่งพอรัฐสภามีมติให้ร่างของพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก
ทำให้ยิ่งต้องมีมีหน้าที่อธิบาย หลักการและเหตุตผลให้กมธ.เห็นคล้อยตาม
ทั้งนี้ตนพูดตั้งแต่วันแรกของการประชุมกมธ. ในฐานะผู้เสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญว่า
ตนเข้าใจดีว่าแต่ละคนมีมุมมองที่ต่างกัน
สิ่งที่อยากให้กมธ.แสวงหาคือฉันทามติของทุกฝ่าย เพราะรู้ว่ากรณีผ่านวาระสามไปได้
ไม่ใช่จะใช้เสียงข้างมากของรัฐ แต่ต้องได้ 20% ของฝ่ายค้าน
และ 1 ใน 3 ของ สว. ด้วย
และแม้ผ่านวาระสามไปได้ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนด้วย
ดังนั้นร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขที่จะคลอดออกมาต้องตอบ 2โจทย์คู่ขนาน
คือ ได้ฉันทามติของรัฐสภาระดับหนึ่ง
และตอบโจทย์เพียงพอที่ประชาชนจะลงคะแนนเห็นชอบตอนประชามติด้วย
“การทำงานของผมที่ผ่านมาไม่ได้เอาความเห็นของตนเองเป็นใหญ่
แต่พยายามแสวงหาฉันทามติในกมธ. ในประเด็นที่เห็นต่างกัน
หากหาข้อสรุปร่วมกันได้โดยไม่ลงมติได้ก็ดี แต่หากจำเป็นต้องลงมติ
เพราะมีประเด็นที่ต้องลงมติเพื่อหยั่งเสียงว่าแต่ละฝ่ายมีมุมมองเห็นต่างกันมีผู้สนับสนุนเท่าไร”
นายพริษฐ์ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีประเด็นที่เป็นข้อเห็นต่างระหว่างมีผู้ร่างรัฐธรรมนูญอย่างเดียว
โดยไม่มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) นายพริษฐ์ กล่าวว่า
ร่างแก้รัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนที่เป็นฉบับหลัก เป็นผู้ร่างชั้นเดียว คือ
กมธ.ยกร่างรัฐธรมนูญมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมให้ประชาชนคัดมาก่อน 70 คน
จากนั้นให้รัฐสภาคัดเหลือ 35 คน
โดยใช้วิธีการเสนอชื่อตามสัดส่วน ให้ สส.และสว. รวมกลุ่ม 20 คน
เสนอผู้ร่าง 1 คน เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้เสียงข้างมากลากไป
ส่วนอีกกลไกคู่ขนาน คือ สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ให้มาจากการเลือกตั้งทางตรง
เพราะเห็นว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญห้ามเฉพาะประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรง
แต่สภาที่ปรึกษาไม่มีอำนาจในการทำเนื้อหา จึงสามารถมาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้
ทั้งนี้โมเดลดังกล่าวเป็นโมเดลคู่ขนานที่เป็นไปตามข้อจำกัดของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ดียอมรับว่ามีมุมมองที่แตกต่างกัน บางฝ่ายเห็นด้วย กับกมธ.ชั้นเดียว
แต่ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งทางอ้อม อีกฝ่ายเห็นว่าควรมี สสร.
แต่งตั้งจากรัฐสภาทั้งนี้ที่ประชุมได้ถกกันหลายความเห็นว่ามีข้อดีข้อเสียต่างกัน
เมื่อถามว่าเหตุผลที่สัปดาห์ที่ผ่านมาลงมติไม่ได้
เพราะแต่ละฝ่ายยืนยันความเห็นคนละฝั่งหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า
ไม่มีเรื่องอะไรที่ลงมติไม่ได้ ที่ผ่านมาพยายามมองว่าอะไรที่ตรงกัน
และหากได้ฉันทามติจะเดินหน้าได้โดยไม่ลงมติ แต่หากจำเป็นต้องลงมติ เหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องทำเพื่อให้รู้ว่าแต่ละทางเลือกมีผู้ที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยมากน้อยแค่ไหน
อย่างไรก็ดีตนเชื่อว่าในการประชุมวันที่ 12 พ.ย. นี้
ประเด็นที่เห็นต่างกันจะหาข้อสรุปได้ในทางใดทางหนึ่ง
เมื่อถามว่ากรณีที่โมเดลของผู้ร่างรัฐธรรมนูญเสี่ยงขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
ปรับหรือลดทอนหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าววว่า
มุมหนึ่งต้องยืนยันว่าสิ่งที่เสนอนั้นไม่ขัดแต่อีกมุมเข้าใจว่ามีความกังวล
ดังนั้นจึงเป็นความพยายามทำความเข้าใจว่า ฝ่ายที่กังวลนั้นกังวลเรื่องใด
สามารถคลายข้อกังวลได้หรือไม่
หากคลายกังวลไม่ได้จะปรับร่างรัฐธรรมนูญเป็นแบบไหนที่ยังคงหลักการที่ยึดถือและคลายกังวลด้วย
“เป็นความพยายามหาฉันทามติในชั้นกรรมาธิการ
คือสิ่งที่เราต้องการบรรลุให้ได้มากที่สุด
และทำให้เป้าหมายการทำงานเสร็จภายในเดือนพ.ย.นี้” นายพริษฐ์ กล่าว
เมื่อถามว่าขณะนี้โมเดลของพรรคประชาชนได้แนวร่วมมากน้อยแค่ไหน
นายพริษฐ์ กล่าวว่า หากจะสรุปเวลานี้คงยาก เพราะแต่ละคนอภิปรายประเด็นที่หลากหลาย
มีบางประเด็นที่กมธ.เห็นด้วย บางประเด็นไม่เห็นด้วย
ดังนั้นหน้าที่ของคระทำงานนพยายามดูว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่คุยกัน ตนเชื่อว่าใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว
โดยวันที่ 12
พ.ย. นี้จะได้ข้อสรุปที่ยังเห็นต่างกัน
ไม่ว่าข้อสรุปเป็นเช่นไรทุกฝ่ายพร้อมเดินหน้า
เมื่อถามย้ำว่าจะมีทางสายกลาง
ที่ไม่มีถือธงนำเฉพาะของพรรคประชาชน หรือฝั่งใดอย่างเดียวหรือไม่ นายพริษฐ์
กล่าวว่า เป้าหมายคือพยายามหาฉันทามติจากทุกฝ่าย ทุกฝ่ายต้องพร้อมว่า
มีหลักการสำคัญของตนเองจะหาจุดกึ่งกลางที่เป็นที่ยอมรับขอทุกฝ่าย
ซึ่งกมธ.คาดหวังว่า เมื่อร่างแก้รัฐธรรมนูญที่รับมา ทั้งของพรรคประชาชน
และพรรคภูมิใจไทย แต่พรรคเพื่อไทย มีสิทธิเสนอเช่นกัน
ดังนั้นต้องเอาโมเดลมาผสมในสิ่งที่รับได้ในเชิงหลักการและผ่านความเห็นชอบของประชาชน
