วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2568

“ญาณธิชา” เรียกร้อง รมว.เกษตรฯ เร่งเจรจาจีน หลังเปลี่ยนข้อกำหนดตรวจสารซัลเฟอร์ในลำไยกะทันหัน หวั่นส่งออกไม่ได้-ถูกตีกลับ กระทบชาวสวน-ผู้ประกอบการเจ็บหนัก กระทุ้งเตรียมมาตรการรับมือเพื่ออนาคตหากเจรจาไม่สำเร็จ

 


ญาณธิชา” เรียกร้อง รมว.เกษตรฯ เร่งเจรจาจีน หลังเปลี่ยนข้อกำหนดตรวจสารซัลเฟอร์ในลำไยกะทันหัน หวั่นส่งออกไม่ได้-ถูกตีกลับ กระทบชาวสวน-ผู้ประกอบการเจ็บหนัก กระทุ้งเตรียมมาตรการรับมือเพื่ออนาคตหากเจรจาไม่สำเร็จ


วันที่ 21 สิงหาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี เขต 3 พรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อ อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรณีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จีนมีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดเรื่องการตรวจวัดสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างในลำไยที่จะส่งออกไปจีนอย่างกะทันหัน โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า และไม่มีการหารือร่วมกันกับประเทศไทย ส่งผลให้ชาวสวนลำไยภาคตะวันออก ล้ง และผู้ประกอบการส่งออกเกิดความกังวลว่าจะส่งออกลำไยไปยังประเทศจีนไม่ได้


โดยญาณธิชากล่าวว่า จากเดิมตามพิธีสารไทย - จีน กำหนดว่าปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างในเนื้อต้องไม่เกิน 50 PPM หรือไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจีนตั้งข้อกำหนดใหม่ว่า จะมีการสุ่มตรวจตัวอย่างลำไยทั้งบริเวณท้ายตู้ กลางตู้และในตู้ ตามระบบที่กำหนด แล้วนำตัวอย่างลำไยส่งห้องปฏิบัติการของศุลกากรจีน ซึ่งห้องปฏิบัติการจะทำการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่าง “ทั้งผล” คือนำเปลือกและเนื้อมาปั่นรวมกันแล้วตรวจวิเคราะห์ โดยปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างสูงสุดต้องไม่เกิน 50 PPM โดยมีระยะเวลาในการตรวจ 3-7 วัน ในระหว่างรอผลตรวจสามารถนำตู้ลำไยออกจากด่านได้ แต่ยังไม่อนุญาตให้ขายจนกว่าผลตรวจจะผ่าน


ข้อความสำคัญอยู่ที่ “ปั่นรวมกันทั้งเปลือกและเนื้อแล้วเอามาตรวจให้ไม่เกิน 50 PPM” ซึ่งล้งยืนยันว่าอย่างไรก็ทำไม่ได้ แต่หากตรวจเฉพาะในเนื้อไม่เกิน 50 PPM แบบเดิมสามารถทำได้ ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมลำไยต้องอบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เราอบสารซัลเฟอร์เพื่อยืดอายุและรักษาคุณภาพของลำไย ทำให้มีผิวเหลืองสวย เนื้อของลำไยยังคงขาวใส ไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล อยู่ได้นานหลายวัน ไม่เป็นรา ไม่เน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค หากอบบางไป จะทำให้ลำไยเน่าเสียระหว่างขนส่ง และเมื่ออบแล้วส่วนใหญ่สารนี้จะตกค้างอยู่ที่เปลือก จึงทำให้เป็นเหตุว่าถ้าเราถูกตรวจแบบทั้งผลไม่เกิน 50 PPM ล้งจึงไม่สามารถทำได้


เพื่อให้เห็นภาพว่าพวกเราจะได้รับผลกระทบมากขนาดไหนหากส่งออกไม่ได้ ต้องดูปริมาณผลผลิตและมูลค่าการส่งออกของลำไย ในปี 2567 ปริมาณผลผลิตลำไยทั้งประเทศอยู่ที่ 1,420,000 ตัน โดยไทยส่งออกลำไยทุกประเภท ทั้งผลสด แช่แข็ง อบแห้ง ไปทั่วโลกอยู่ที่ 647,000 ตัน มูลค่าการส่งออกรวม 27,500 ล้านบาท หากดูเฉพาะลำไยที่เป็นผลสด ไทยส่งออกไปทั่วโลกอยู่ที่ 528,000 ตัน มูลค่าการส่งออกราว 20,000 ล้านบาท และในส่วนของผลสดเป็นการส่งออกไปประเทศจีน 371,000 ตัน มูลค่าการส่งออก 14,300 ล้านบาท ส่วนปี 2568 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรประมาณการผลผลิตลำไยไว้ที่ 1,550,000 ตัน เป็นลำไยในภาคตะวันออกโดยเฉพาะจังหวัดจันทบุรีและสระแก้ว 456,000 ตัน ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ลำไย 4 แสนกว่าตันนี้เองที่กำลังจะเป็นปัญหา เพราะอาจไม่สามารถส่งออกได้ ถ้าจีนขอตรวจสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์แบบ “ทั้งผล”


มาตรการของจีนที่เปลี่ยนแปลงข้อกำหนดการตรวจสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์อย่างกะทันหัน และไม่เป็นไปตามพิธีสารที่ได้ตกลงกันไว้ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อวงจรการซื้อขายลำไย ตนได้ประชุมร่วมกับล้งและผู้ประกอบการส่งออก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจีนประเมินว่า แม้ว่าจีนจะทำการสุ่มตรวจ ไม่ได้ตรวจทุกตู้เหมือนการตรวจสาร BY2 ในทุเรียน แต่ลำไยที่ส่งออกไปก็อาจจะถูกสุ่มตรวจแล้วพบว่ามีซัลเฟอร์เกิน 50 PPM ได้ ส่งผลทำให้ตู้ลำไยถูกตีกลับมา


ตนขอยกตัวอย่างกรณีที่ได้รับฟังมา ในช่วงที่ผ่านมาล้งแห่งหนึ่งได้ส่งออกลำไยไปแล้ว 40 ตู้ แต่เมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว ถูกตีกลับมา 1 ตู้ ตรงกับช่วงที่จีนเปลี่ยนการตรวจวิเคราะห์เป็นแบบตรวจทั้งผล ทำให้ตรวจแล้วมีค่าซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกิน 50 PPM แต่ก่อนหน้านี้ 39 ตู้ที่ไม่มีปัญหา เพราะจีนยังตรวจเฉพาะแค่ในเนื้อ ผลการตรวจจึงไม่เกิน


สิ่งที่ล้งเป็นกังวลคือ การที่จีนให้ตรวจวิเคราะห์ทั้งผลไม่เกิน 50 PPM ล้งไม่สามารถทำได้ หากจะตรวจแบบนี้แล้วหวังว่าค่าจะไม่เกิน คือต้องไม่อบเลย และหากจะลดปริมาณการอบให้บางลงกว่าเดิมหรือไม่อบเลย ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะจะทำให้ลำไยเน่าเสียก่อนไปถึงผู้บริโภคที่จีนแน่นอน ในสถานการณ์ปกติจะมีระยะเวลาจากล้งไปหน้าด่านที่จีน ประมาณ 3-4 วัน จากหน้าด่านไปถึงตลาดที่ใกล้ที่สุดอีก 3 วัน รวมแล้วจะถึงตลาดที่จีนประมาณ 7 วัน แต่เมื่อถูกสุ่มตรวจจะต้องรอผลตรวจเพิ่มไปอีกอย่างเร็วสุด 3 วัน กลายเป็น 10 วันแล้ว ยังไม่นับว่าต้องมีเวลาสำหรับวางขายที่ตลาดที่จีน อาจทำให้ลำไยเน่าเสียหายได้


เมื่อเกิดสถานการณ์ความไม่แน่ใจว่าจะส่งลำไยออกไปได้หรือไม่ จะถูกตีกลับหรือไม่ จึงส่งผลให้ล้งส่วนใหญ่ชะลอการจ่ายเงินมัดจำรอบ 2 หลังจากที่ได้วางเงินมัดจำจองสวนไปแล้วก่อนหน้านี้และตอนนี้ก็ยังไม่มีการทำสัญญาล่วงหน้าเพิ่มเติม ทำให้ชาวสวนลำไยไม่มีเงินไปซื้อปุ๋ยยาบำรุงในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเก็บเกี่ยว ส่งผลให้ลำไยอาจมีขนาดเล็กและคุณภาพต่ำลง


สถานการณ์นี้ทำให้ราคาลำไยภาคตะวันออกที่เคยทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากันไว้กิโลกรัมละ 30 บาท ตอนนี้ล้งมาขอลดราคาเหลือ 22 บาทเท่านั้น และหากล้งตัดสินใจหยุดซื้อจริงๆ ราคาก็อาจลดลงเหลือเพียงกิโลกรัมละไม่กี่บาท ชะตากรรมของลำไยภาคตะวันออกที่ตอนแรกดูท่าจะไม่ดีอยู่แล้ว เนื่องจากประสบกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานในการเก็บ ยังมาถูกซ้ำเติมด้วยปัญหานี้อีก และหากแก้ไขปัญหาไม่ได้ คงมีสภาพไม่ต่างจากลำไยในภาคเหนือที่กิโลกรัมละ 3-5 บาท สุดท้ายพี่น้องชาวสวนลำไยอาจขาดทุนยับเยิน ไม่มีเงินจ่ายหนี้ ธ.ก.ส. ไม่มีเงินไปใช้หนี้ร้านปุ๋ยยา ไม่มีเงินให้ลูกไปโรงเรียน ติดหนี้ติดสินหนักไปอีก


อีกประเด็นสำคัญที่ตนต้องย้ำ คือเรื่องเงื่อนไขด้านเวลา เรื่องนี้ไม่เหมือนทุเรียน ครั้งแรกที่ตนตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ตอนนั้นเหลือเวลาอีก 4 เดือนกว่าจะถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยว ยังพอมีเวลาเหลือให้ทำงาน แต่กรณีลำไย พอจีนประกาศปุ๊บก็ถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยวพอดี ไม่มีเวลาให้ตั้งตัว เราไม่มีเวลาเหลือแล้ว ต้องเร่งจัดการปัญหาวันนี้ตอนนี้ ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการณ์ ดังนั้นคำถามแรก รัฐมนตรีมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไร ทำอะไรไปแล้วบ้าง วางแผนจะไปเจรจากับประเทศจีนเร็วที่สุดเมื่อไร และจะเอาอะไรไปเจรจากับประเทศจีน


รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมา การค้าขายโดยเฉพาะเรื่องลำไยระหว่างไทยกับจีน ยึดมั่นในพิธีสารเป็นหลัก แต่วันนี้มีแนวโน้มที่หน่วยงาน อย. ของจีน ซึ่งตนตรวจสอบล่าสุด ยังไม่มีเอกสารราชการแจ้งมาชัดเจนว่าจะใช้มาตรการใดในการตรวจ แต่ได้แจ้งมาที่ตัวแทนของกระทรวงเกษตรฯ ที่กว่างโจวและปักกิ่ง ว่าอาจมีมาตรการเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงการตรวจลำไย จากตรวจที่เนื้อมาตรวจที่เปลือกด้วย


เมื่อวานนี้ (20 ส.ค.) ตนประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนคือต้องติดต่อไปที่จีน เพราะความชัดเจนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ตนเชื่อว่าประเทศไทยมีความพร้อมเรื่องห้องแล็บที่จะสามารถตรวจค่าสารซัลเฟอร์ได้อย่างมีมาตรฐานที่จีนยอมรับได้ แต่ปัญหาคือถ้าตรวจวันนี้ เชื่อว่าจะเกิน 50 PPM จึงต้องพูดคุยว่าระหว่างนี้กระบวนการที่จะส่งไปจีนจะตรวจอย่างไร ซึ่งในเมื่อยังไม่มีเอกสารทางราชการออกมา เชื่อว่าจะเป็นช่องว่างที่ทำให้กระทรวงเกษตรฯ ของไทยเร่งเจรจากับทางจีนในการหาทางออกร่วมกัน สิ่งที่ยืนยันได้คือพร้อมร่วมทำงานกับทุกฝ่ายเพื่อเราจะได้ทำงานแข่งกับเวลา


จากนั้นญาณธิชากล่าวว่า ที่รัฐมนตรีบอกว่ายังไม่มีเอกสารส่งมาอย่างเป็นทางการ ตนได้เห็นเอกสารของฝ่ายเกษตรกรประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ส่งถึงปลัดกระทรวงเกษตรฯ เรื่องการตรวจสอบกักกันลำไยผลสดที่ด่านนำเข้าของจีน เป็นเอกสารระหว่างหน่วยงานของไทยด้วยกัน


คำถามที่สองของตน คือรัฐมนตรีมีแนวทางในการบริหารจัดการล้งหรือผู้ประกอบการในประเทศอย่างไร ไม่ให้อบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกินค่ามาตรฐาน จะมีคู่มือหรือคำแนะนำเพื่อให้ความรู้กับล้งหรือไม่ว่าควรอบอย่างไร มีสารใดทดแทนหรือไม่ หากเจรจาสำเร็จในอนาคตมีมาตรการอย่างไรไม่ให้ล้งอบเกินค่ามาตรฐาน


รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า ตนได้รับเอกสารตามที่ สส.ญาณธิชา เอ่ยถึงเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าเรารับทราบสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร และประเมินว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้น สำหรับมาตรการต่างๆ ในระยะสั้นอาจต้องดูความเป็นไปได้ในการหาซอฟต์โลนเพื่อให้ผู้ประกอบการรับซื้อลำไยที่กำลังออกมาในภาคตะวันออก โดยเฉพาะจำนวน 7,500 ตันในเดือนนี้


ตอนนี้เรารู้โจทย์จากทางจีนประมาณ 90% การเร่งเจรจาพูดคุยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ต้องให้เวลาเพื่อผู้ประกอบการและชาวสวนได้ปรับตัว เป็นไปได้ว่าถ้าเขาจะบังคับใช้ เราอาจขอขยายระยะเวลา แต่ถ้าขอไม่ได้ อาจต้องมีขั้นตอนว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ถ้าไม่รู้โจทย์ว่าเขาให้เราทำอะไร แม้มีคู่มือก็อาจไม่สามารถตอบโจทย์หรือปัญหาความกังวลใจของพี่น้องชาวสวนลำไยและผู้ประกอบการได้


ญาณธิชากล่าวว่า คำถามสุดท้าย หากไม่สามารถเจรจาได้ผลสำเร็จ ไม่สามารถส่งออกได้จริงๆ ท่านมีแนวทางจัดการกับผลผลิตลำไยภาคตะวันออกประมาณ 4 แสนตันอย่างไร โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ที่จะออกมาประมาณ 30,000 ตัน และมีแนวโน้มเจรจากับจีนประมาณเมื่อไร เพราะผู้ประกอบการและชาวสวนเป็นกังวล ขอฝากความหวังไว้ที่รัฐมนตรี


รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ที่ได้พูดคุยกับผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ ได้ให้คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางการจีนทำนัดเรื่องเวลาเข้าพบแล้ว ถ้าได้ผลอย่างไรจะมาแจ้งโดยเร็วที่สุด แต่เชื่อว่าด้วยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับจีน จะเป็นการพูดคุยทางการค้า ไม่ใช่เป็นศัตรู และจีนน่าจะเข้าใจ เพราะความต้องการของผู้บริโภคประเทศจีนให้ความเชื่อมั่นกับสินค้าทางการเกษตรของประเทศไทย


ส่วนผลผลิตลำไย 30,000 กว่าตันในภาคตะวันออกที่จะออกมาใน 2-3 เดือนนี้ ตนเชื่อว่ารัฐบาลไม่ปล่อยให้พี่น้องชาวสวนลำไยเดียวดาย คงมีการพูดคุยหารือหาทางออก ถ้าจำเป็นต้องใช้งบประมาณ เชื่อว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดีที่จะนำงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของประชาชนมาใช้ในส่วนนี้เพื่อดูแลแก้ไขปัญหาเบื้องต้นให้กับพี่น้องชาวสวนลำไย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #กระทรวงเกษตร #ลำไย