“วิโรจน์” โวยกฎหมายล้าหลัง เปิดช่องรีดไถรถเครนสุจริต
แนะกรมทางหลวงชนบทแก้ระเบียบให้สอดคล้องสากล-เลื่อนโครงการซื้อรถเครนออกไปก่อน
หวั่นทำผิดกฎหมายเสียเอง
วันที่
14 สิงหาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2569 วิโรจน์
ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน
ได้อภิปรายถึงงบประมาณของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม
โดยเสนอให้ตัดงบประมาณในการจัดซื้อรถเครนของกรมทางหลวงชนบท จำนวน 7.56 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2569 ออกไปก่อน
โดยกล่าวว่า
ปัจจุบันรถเครนในประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหากฎหมายที่บังคับใช้ไม่สอดคล้องกับหลักการทางวิศวกรรมของรถเครน
รถเครนที่ผลิตจากโรงงานตามมาตรฐานอุตสาหกรรม มีมาตรฐานความปลอดภัยครบถ้วน
สามารถวิ่งใช้งานบนท้องถนนได้ทั่วโลก แต่กลับต้องมาถูกตำรวจไทยจับด้วยข้อหาน้ำหนักเกินบนท้องถนนของประเทศไทย
ทั้งที่รถเหล่านี้ไม่ได้มีการดัดแปลงใดๆ เลย
ประเทศอื่นๆ
เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา จัดให้รถเครนอยู่ในกลุ่ม
“รถเฉพาะกิจ” ซึ่งได้รับอนุญาตให้มีน้ำหนักรวมเกินกว่ารถบรรทุกทั่วไป
เนื่องจากรถเครนมีหน้าที่เพียงเคลื่อนย้ายตัวรถไปยังพื้นที่ปฏิบัติงาน
และอยู่ในพื้นที่นั้นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ไม่ได้มีหน้าที่ขนถ่ายสินค้า
หรือวิ่งขนส่งไปมาเหมือนรถบรรทุก
แต่กฎหมายไทยกลับจัดให้รถเครนอยู่ในหมวดเดียวกันกับรถบรรทุก
ทำให้รถเครนต้องถูกจับด้วยข้อหาบรรทุกเกิน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้บรรทุกอะไรเลย
ไม่ได้มีการดัดแปลงแม้แต่น้อย รถเดิม ๆ จากโรงงานแท้ๆ กลับกลายเป็นผิดกฎหมาย
ยกตัวอย่างเช่น
รถบรรทุก 6
ล้อ ปัจจุบันกฎหมายกำหนดน้ำหนักรวมไม่เกิน 15 ตัน
แต่รถเครนที่ติดตั้งอุปกรณ์ครบชุดตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ซึ่งประกอบด้วยเครน
ขาเหยียบ น้ำหนักถ่วง และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ จะมีน้ำหนักรวมกว่า 16 ตันตั้งแต่ออกจากโรงงาน ซึ่งหมายความว่าพอรถวิ่งออกมาใช้งาน
ก็พร้อมถูกจับได้ทันที หากจะไปดัดแปลงเอาน้ำหนักถ่วงออก เวลายกของหนักๆ
เพลาหน้าก็จะลอย เสี่ยงต่อการพลิกคว่ำ
สุดท้าย
รถเครนที่ควรใช้เพื่อการยกของ กลับต้องถูกใช้เป็นเครื่องมือให้ “ไถ”
และหากไม่ยอมจ่ายค่าไถซึ่งสูงถึง 70,000 บาท ก็จะถูกทำสำนวนริบรถ
ทั้งที่รถเครนไม่ใช่ของราคาถูก รถเครน 6 ล้อ ราคากว่า 4
ล้านบาท และถ้าเป็นสเปคสูงกว่านั้น ราคาก็อาจแตะหลักสิบล้านบาท
และสิ่งที่น่าเศร้าก็คือ เวลาที่ประเทศเกิดภัยพิบัติ
หน่วยงานราชการก็ต้องไปขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการรถเครนให้เอารถออกมาช่วย
พร้อมบอกว่า “คราวนี้จะยกเว้นไม่จับ เดี๋ยวภัยพิบัติผ่านไปค่อยว่ากันใหม่”
ปัญหานี้มีสาเหตุมาจาก
ประกาศผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษ ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน
และผู้อำนวยการทางหลวงสัมปทาน รวมถึงประกาศกรมทางหลวง ที่ คค0643/530 เรื่อง หลักเกณฑ์การขออนุญาตให้ยานพาหนะเดินบนทางหลวงพิเศษ ทางหลวงแผ่นดิน
และทางหลวงสัมปทาน ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2548 ซึ่งทั้งอธิบดีกรมทางหลวง อธิบดีกรมทางหลวงชนบท
และแม้แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต่างทราบกันดี แต่แทนที่จะเร่งแก้ไขกฎหมาย
และจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ทางอย่างสมเหตุสมผลเพื่อเพิ่มรายได้รัฐ
กลับปล่อยให้เกิดการรีดไถกันไม่จบไม่สิ้น
ในปีงบประมาณ
2569 กรมทางหลวงชนบทมีแผนจัดซื้อรถเครน 6 ล้อ
พร้อมเครนยกไม่น้อยกว่า 10 ตัน-เมตร จำนวน 2 คัน ราคาคันละ 3.78 ล้านบาท รวมงบประมาณ 7.56
ล้านบาท ซึ่งหากยังไม่มีการแก้ไขกฎหมาย
ก็เท่ากับว่ากรมทางหลวงชนบทกำลังจะซื้อครุภัณฑ์ที่ “ผิดกฎหมาย” เสียเอง
ตนทราบมาว่าตอนนี้
ผู้ประกอบการรถเครนหลายรายทนการถูกไถไม่ไหวแล้ว
จึงกำลังระดมอาสาสมัครพลเมืองดีไปเฝ้าตามแขวงทางหลวงและหน่วยงานราชการต่างๆ
ที่มีรถเครน เมื่อใดที่รถเครนของกรมทางหลวงหรือกรมทางหลวงชนบทออกมาวิ่งบนทางหลวง
พลเมืองดีเหล่านี้ก็จะไปแจ้งความให้ตำรวจมาจับกุมดำเนินคดีทันที
ท่านอธิบดีกรมทางหลวง และอธิบดีกรมทางหลวงชนบท รับผิดชอบไหวหรือไม่
ดังนั้นขอเสนอให้ตัดงบประมาณในการจัดซื้อรถเครนของกรมทางหลวงชนบท
จำนวน 7.56
ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2569 และให้กระทรวงคมนาคม
กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทดำเนินการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับรถเครนให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
เพื่อไม่ให้รถเครนที่ผลิตตามมาตรฐานอุตสาหกรรมและถูกต้องตามหลักวิศวกรรม
กลายเป็นผิดกฎหมายเพียงเพราะกฎหมายล้าหลังและไม่สมเหตุสมผล สร้างความเดือดร้อนและเปิดช่องให้มีการรีดไถผู้ประกอบการที่สุจริตอย่างไม่เป็นธรรม
และเมื่อกฎหมายได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว
ในปีถัดไปจึงค่อยมาของบประมาณเพื่อจัดซื้อรถเครนอีกครั้ง
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ประชุมสภา #อภิปรายงบประมาณ #งบ69 #กรมทางหลวง