“รมช.จุลพันธ์”
ยืนยันรัฐบาลมีกระสุนเพียงพอ รับมือความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก
ทั้งเงินคงคลังและกลไกตามกฎหมาย เผยแผนลดการขาดดุลอย่างต่อเนื่อง
มุ่งสู่เป้างบประมาณสมดุลระยะยาว
วันที่
13 สิงหาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)
งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระที่ 2-3
วงเงิน 3,780,600 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 13-15
ส.ค.นี้
นายจุลพันธ์
อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ในฐานะรองประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ยืนยันว่า
รัฐบาลได้จัดทำงบประมาณอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ฐานะการคลัง และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ พร้อมระบุว่ารัฐบาลมี
กระสุนเพียงพอที่จะรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในอนาคตได้
นายจุลพันธ์กล่าวว่า
งบประมาณปี 2569
ถูกจัดทำขึ้นภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวและยังต้องรับมือกับการกีดกันทางการค้าจากประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐ
ซึ่งรัฐบาลทราบดีถึงความเสี่ยงเหล่านี้
แต่ยืนยันว่ากระทรวงการคลังมีศักยภาพเพียงพอในการบริหารจัดการรายได้
และมีกลไกด้านงบประมาณที่พร้อมรองรับ ไม่ว่าจะเป็นเงินคงคลังในระดับสูง
เงินทดรองฉุกเฉินอีก 50,000 ล้านบาท
รวมถึงกลไกทางกฎหมายอื่นๆ ที่สามารถนำมาใช้ได้ รวมถึงการจัดทำ
พ.ร.บ.งบประมาณการโอนเปลี่ยนแปลงการแก้ไขงบประมาณ
ซึ่งสุดท้ายแล้วต้องเป็นอำนาจของสภาฯ
“ทั้งหมดนี้ ขอยืนยันว่าด้วยกระสุนทั้งหมด ด้วยกลไกทั้งหมดที่มีนั้น
มีมากเพียงพอที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาของประเทศ และขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโต”
นายจุลพันธ์ ระบุ
ส่วนเรื่องข้อห่วงใยต่อ
GDP ปีนี้ที่อาจกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐนั้น นายจุลพันธ์ยืนยันว่า
กระทรวงการคลังมีศักยภาพเพียงพอที่จะบริหารจัดการการจัดเก็บรายได้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
และไม่กระทบกับการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายงบประมาณในอนาคต
“เรื่องปัญหาการจัดเก็บรายได้ แม้ขณะนี้จะมีผลกระทบอยู่บ้าง แต่เราเชื่อว่า
จะสามารถบริหารจัดการให้ลุล่วงไปได้ ไม่มีผลกระทบใด ๆ”
นอกจากนี้
นายจุลพันธ์กล่าวถึงความสำคัญของการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
โดยระบุว่าหากมีการปรับลดงบประมาณลง
จะส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและทำลายความเชื่อมั่นของภาคเอกชนในการลงทุน
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว รัฐบาลจึงตั้งงบประมาณรายจ่ายตามจำนวนที่กำหนดไว้
เพื่อให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต
ในส่วนของความกังวลเรื่องการเพิ่มพื้นที่การคลัง
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน
ภาครัฐมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณแบบขาดดุลเพื่อลงทุนพัฒนาประเทศ
และการลงทุนที่มีประสิทธิภาพจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว
ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นและสามารถชำระหนี้ได้มากขึ้น
ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลง
โดยภาครัฐมีแนวทางเสริมเศรษฐกิจภาคการคลัง
เช่น การปรับปรุงระบบภาษีให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม, การส่งเสริมการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน,
การบริหารทรัพย์สินของรัฐให้เกิดรายได้, การลดรายจ่ายผ่านการจัดลำดับความสำคัญ,
การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย
และการบริหารหนี้สาธารณะในระยะยาวอย่างเป็นระบบ โดยในปีงบ 69 มีการลดลงของรายจ่ายประจำอย่างมีนัยสำคัญถึง 25,794 ล้านบาท
คิดเป็น 1% ของงบประมาณรายจ่ายปี 69
ทั้งนี้
รัฐบาลได้วางแผนการคลังระยะปานกลางสำหรับปี 2569-2572 โดยมีเป้าหมายที่จะ
ลดการขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่องเพื่อมุ่งสู่การมีงบประมาณสมดุลในระยะยาว
ซึ่งจะเห็นได้จากตัวเลขวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลที่ลดลงในแต่ละปี ดังนี้
ปี
2569 ขาดดุล 860,000 ล้านบาท คิดเป็น 4.3% ต่อ GDP
ปี
2570 ขาดดุล 758,600 ล้านบาท คิดเป็น 3.6% ต่อ GDP
ปี
2571 ขาดดุล 721,900 ล้านบาท คิดเป็น 3.3% ต่อ GDP
ปี
2572 ขาดดุล 703,300 ล้านบาท คิดเป็น 3.1% ต่อ GDP
"ตัวเลขดังกล่าว
สะท้อนว่ารัฐบาลมีความจริงใจและตั้งใจลดระดับการขาดดุลอย่างต่อเนื่อง
เพื่อมุ่งสู่งบประมาณสมดุลในระยะยาว
ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้เต็มศักยภาพ
ก็จะเอื้อต่อการเสริมฐานะทางการคลัง ทั้งด้านรายได้ รายจ่าย
การบริหารหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายงบประมาณสมดุลในอนาคต"
นายจุลพันธ์กล่าว