“พอล
แชมเบอร์ส” ยื่นอุทธรณ์คำสั่งเลิกจ้าง ม.นเรศวร แย้ง ผู้ออกคำสั่งไม่มีอำนาจและไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้งตามกระบวนการ
เมื่อวันที่
6 พฤษภาคม 2568 ที่สำนักงานอธิการบดี
มหาวิทยาลัยนเรศวร ดร.พอล แชมเบอร์ส (Dr. Paul Chambers) อาจารย์ประจำสถานประชาคมอาเซียนศึกษา
คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
เดินทางเข้ายื่นหนังสืออุทธรณ์คำสั่งยกเลิกการจ้างงานผู้มีความรู้ความสามารถพิเศษเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย
เหตุในกรณีนี้เนื่องจาก
ผศ.ดร.ภาณุ พุทธวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ปฏิบัติราชการแทนอธิการบดี
ได้ออกคำสั่งยกเลิกการจ้าง ดร.พอล โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน
2568 ซึ่งเป็นวันที่ถูกแจ้งคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
แม้ว่าในปัจจุบัน ดร.พอล
ยังอยู่ในระหว่างอุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรต่อคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง
โดยเหตุผลในอุทธรณ์โต้แย้ง
ชี้คำสั่งเกินอำนาจและไม่ผ่านกระบวนการตามกฎหมาย
1.
คำสั่งเลิกจ้าง เป็นคำสั่งที่ไม่มีอำนาจ
หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของรองอธิการบดี
รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นผู้ลงนามในคำสั่งเลิกจ้าง
ดร.พอล ทั้งสองฉบับที่ออกเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 และ 24 เมษายน 2568 แต่การออกคำสั่งดังกล่าวอาจถือว่าเกินขอบเขตอำนาจหน้าที่
เนื่องจากตามคำสั่งมหาวิทยาลัยที่ระบุการมอบอำนาจให้รองอธิการบดีปฏิบัติราชการแทนอธิการบดี
ไม่ได้ระบุถึงอำนาจในการ “เลิกจ้าง” บุคลากร ไว้ ดังนั้น รองอธิการบดีไม่มีอำนาจตามคำสั่งมอบหมายให้เลิกจ้างอาจารย์ได้โดยลำพัง
จึงอาจทำให้คำสั่งเลิกจ้างทั้งสองฉบับนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
2.
คำสั่งยกเลิกการจ้างฯ
ที่ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย
และเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้ว่าปัจจุบัน
ดร.พอล จะถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 9 เมษายน
2568 และอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนการอนุญาต ฯ
เนื่องด้วยถูกกล่าวหาในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อย่างไรก็ตาม ดร.พอล
เป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาว่าโพสต์ข้อความลงในเว็บไซต์ของประเทศสิงคโปร์ ISEAS
– Yusof Ishak Institute ซึ่งให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าไม่ใช่ผู้เขียน
ไม่ใช่ผู้โพสต์ข้อความเผยแพร่เนื้อหาในเว็บไซต์ดังกล่าว
จึงไม่ใช่ผู้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา
นอกจากนี้
วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 อธิบดีอัยการภาค 6 มีคำสั่งไม่ฟ้อง
และอยู่ในระหว่างการส่งสำนวนความเห็นและคำสั่งไม่ฟ้องไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค
6 เพื่อพิจารณาว่าจะมีคำสั่งไม่ฟ้องหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 ต่อไป
จึงทำให้ขั้นตอนอยู่ระหว่างการโต้แย้งสิทธิเรื่องการเพิกถอนคำสั่งการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
เมื่อหน่วยงานของรัฐจะออกคำสั่งที่มีผลกระทบต่อสิทธิของบุคคล อย่างการเลิกจ้าง ตาม
พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 30
กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า
ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบได้ทราบข้อเท็จจริง ได้ชี้แจง
และแสดงหลักฐานของตนก่อน คำสั่งนั้นจึงจะถือว่าชอบด้วยกฎหมาย
แต่รองอธิการบดีไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน และไม่ให้ ดร.พอล
ชี้แจงข้อเท็จจริงหรือแสดงหลักฐานใด ๆ ก่อนจะมีคำสั่งเลิกจ้างออกมา
นอกจากนี้
ข้อบังคับของมหาวิทยาลัยนเรศวรเองก็ระบุไว้ว่า
พนักงานมหาวิทยาลัยจะถูกเลิกจ้างได้ต้องมีเหตุชัดเจน เช่น ขาดคุณสมบัติ
หรือกระทำผิดวินัย ซึ่งในกรณีของ ดร.พอล ไม่มีหลักฐานว่าเข้าข่ายลักษณะต้องห้าม
หรือเคยกระทำผิดวินัยใด ๆ อีกทั้งผู้ลงนามในคำสั่งเลิกจ้างก็มีเพียงอำนาจในการบริหารทั่วไปและตั้งคณะกรรมการสอบสวนเท่านั้น
ไม่ได้มีอำนาจเลิกจ้างโดยตรง การออกคำสั่งดังกล่าวทำให้ ดร.พอล
ขาดโอกาสในการชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อนำเสนอพยานหลักฐาน
และกระบวนการโต้แย้งสิทธิทางกฎหมาย
ดังนั้นคำสั่งยกเลิกการจ้างจึงเป็นคำสั่งที่เกินสมควรแก่เหตุ
ไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง จึงเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย
3.
คำสั่งยกเลิกการจ้างฯ เหตุถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
ไม่ได้เป็นเหตุสิ้นสุดสัญญา
ตามสัญญาจ้างที่
ดร.พอล ทำกับมหาวิทยาลัยนเรศวร เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 ได้ระบุชัดเจนว่าการสิ้นสุดแห่งสัญญาจะเกิดขึ้นในกรณีใดบ้าง ได้แก่ 1.
เมื่อครบอายุสัญญา 2. ผู้มีความรู้ความสามารถพิเศษถึงแก่กรรม
3. คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกเลิกสัญญาโดยแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
3 เดือน
ในกรณีที่ผู้มีความรู้ความสามารถพิเศษไม่ผ่านผลการประเมินการปฏิบัติงานประจำปี
ให้มหาวิทยาลัยนเรศวรบอกเลิกสัญญาได้ทันที
ดังนั้นคำสั่งการยกเลิกการจ้างฯ
ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว
จึงไม่เข้าข่ายเหตุแห่งการสิ้นสุดสัญญาตามที่ได้ระบุไว้ข้างต้น
ประกอบกับผู้มีอำนาจลงนามคำสั่งดังกล่าว มิได้เปิดโอกาสให้ ดร.พอล
ได้นำเสนอพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงแต่อย่างใดเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาท ดังนั้น
คำสั่งการยกเลิกการจ้างฯ จึงไม่ถือว่าเป็นเหตุให้สามารถยกเลิกการจ้างงาน
และสิ้นสุดตามสัญญาที่ได้ทำกับมหาวิทยาลัยนเรศวรได้
ด้วยพฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้น
คำสั่งของรองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ปฏิบัติราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร
ทั้งสองฉบับ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้พิจารณามีคำสั่งเพิกถอน
และให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
รวมถึงชะลอการพิจารณาเกี่ยวกับการจ้างงานจนกว่ากระบวนการโต้แย้งสิทธิทางกฎหมายจะเสร็จสิ้น
ขอบคุณข้อมูล
: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน