จากชุมนุมปี 2552
มาเป็นการเติบโตและถูกปราบปรามในปี 2553
หลังจากเหตุการณ์ชุมนุม 2552
เราได้มีการประชุมเพื่อเก็บรับบทเรียนสำคัญ ในทัศนะดิฉันคือ
ความเป็นลัทธิวีรชนเอกชน เสรี ไม่มีวินัย ทำให้สถานการณ์บางจุดบานปลายเสียหายต่อขบวนใหญ่
ดิฉันจึงได้เสนอให้มีการทบทวนภาวการณ์นำ จึงเสนอชุดความคิดใหญ่ ๆ
ให้คุณวีระและที่ประชุม นำไปสู่การออกนโยบาย 6 ข้อ และยุทธศาสตร์การต่อสู้ 2 ขา
ทั้งในเวทีรัฐสภาและนอกรัฐสภา ในฐานะ นปช. ซึ่งในเวลานั้น เวทีรัฐสภามีพรรคการเมืองที่ถูกกระทำอยู่พรรคเดียวคือพรรคไทยรักไทย
เป็นพลังประชาชน และเพื่อไทย
จากแนวร่วมต่อต้านเผด็จการหลวม ๆ
ก็เริ่มเป็นแนวร่วมที่กระชัยและมีหลักนโยบาย
เพื่อชี้นำการต่อสู้ของประชาชนและวิถีการนำให้เป็นเอกภาพ
นำมาสู่การเปิดโรงเรียนการเมืองผู้ปฏิบัติงานนปช.ทั่วประเทศ ตั้งแต่ปลายปี 2552
จนถึงปี 2553 แล้วมาทำต่อในปี 2554 จนครั้งสุดท้ายก่อนทำรัฐประหารในปี 2557
คือโรงเรียนการเมือง นปช.กรุงเทพมหานคร ครั้งสุดท้ายที่เขตดอนเมือง ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2556
สำหรับดิฉันถือว่าโรงเรียนการเมืองนปช.
ได้ผลคุ้มค่า แม้ดิฉันจะถูกพวกแกนนำสายเชียร์พรรค สายประจบนาย สายขอรับผลประโยชน์
ก่นด่าอย่างไรก็ตาม เพราะนี่คือการเพาะต้นกล้าประชาธิปไตยในจิตใจของมวลชนพื้นฐาน
ชาวนาชาวไร่ คนเสื้อแดง แทบทุกจังหวัดให้เข้าใจการต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
เพื่อปลดปล่อยประชาชนจากระบอบเผด็จการทหารอำมาตยาธิปไตย
คิดว่าได้ผลในหมู่มวลชนจำนวนมาก ถึงกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้กล่าวกับหมอเหวงว่า
“ผมและพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้แพ้พรรคเพื่อไทย แต่แพ้โรงเรียนการเมืองนปช.”
และหลังจากปี 2554 เขาได้พยายามเปิดโรงเรียนการเมืองเช่นกัน
แถมอุตส่าห์ไปดูงานถึงประเทศจีน เพราะเขาเข้าใจว่า ดิฉันไปลอกแบบจากจีน
แต่สุดท้ายเขาล้มเหลว ที่เราใช้คำว่า “โรงเรียนการเมือง” เพื่อให้ดูเป็นภาษาบ้าน ๆ
ถ้าจะให้ทันสมัยก็ต้องเป็น
Political
Academy หรือ UDD Academy เปิดการศึกษานโยบายและยุทธศาสตร์เป็นด้านหลัก
พร้อมวิเคราะห์สถานการณ์แยกมิตรแยกศัตรู โดยดิฉันจะเป็นผู้บรรยายหลัก
แต่จะมีองค์ประกอบภาคปฏิบัติ เช่น หลักการจัดตั้ง
ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน และสถานการณ์ปัจจุบันในเวลานั้น
เพื่อให้แกนนำอื่น ๆ ได้มีส่วนร่วมในการเป็นวิทยากร
นี่จึงเป็นการตอบคำถามว่า
หลังการถูกปราบปรามอย่างรุนแรงปี 2553 ไฉนนปช. คนเสื้อแดง
ยังดำรงอยู่และยังขยายตัวเข้มแข็ง จนเกิดรัฐประหารปี 2557
นี่เป็นพลังมวลชนที่มีอายุยืนยาวที่สุดในการต่อสู้กับพลังจารีตอำนาจนิยม
บทเรียนของปี
2552 ถูกยกระดับให้เกิดภาวการณ์นำรวมหมู่ที่มีนโยบายและยุทธศาสตร์ใหม่
เป็นเอกภาพขึ้น และมีผู้ปราศรัยบางส่วนก็หลุดออกไปเป็นกลุ่มอิสระ
เพราะนปช.เริ่มมีความเข้มงวดในการนำรวมหมู่และนโยบายสันติวิธีเข้มข้นมากขึ้น
เพื่อรับผิดชอบการขับเคลื่อนมวลชน
การนำมาสู่การประท้วงใหญ่ในปี
2553 ก็หนีไม่พ้นจากความต่อเนื่องของเหตุการณ์ความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ ที่ตั้งขึ้นในค่ายทหาร
ด้วยความร่วมมือของทหารเผด็จการกับนักการเมืองที่ไม่พอใจคุณทักษิณ แล้วแยกตัวไป
จะเรียกข้าวขั้วก็ได้ ไปจับมือกับประชาธิปัตย์
ซึ่งค้านกับประชาชนที่เลือกเข้าไปในฐานะพรรคพลังประชาชน (ไทยรักไทย, เพื่อไทย)
ทำให้ต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน นี่อาจจะถือเป็นแรงผลักดันจากพรรคพลังประชาชนขณะนั้นด้วยที่สนับสนุนการชุมนุม
ความไม่ชอบด้วยหลักการประชาธิปไตย
ผสมกับความผิดหวังของพรรคการเมืองที่ถูกกระทำ ก็เปิดการชุมนุมเพื่อให้ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน
อันเป็นการชูคำขวัญที่เหมาะสม (ดีกว่าในปี 2552
ให้อภิสิทธิ์ลาออกและองคมนตรีบางท่านลาออก)
และสอดคล้องกับวิถีทางระบอบประชาธิปไตย
การชุมนุมจึงเริ่มขึ้นโดยประชาชนเริ่มเติมทางตั้งแต่
12 มีนาคม แต่ในกรุงเทพมหานคร เรานัดแนะ 13 มีนาคม ที่อนุสาวรีย์ปราบกบฏ หลักสี่
(ยุคนั้นยังอยู่) การรวมกลุ่มของขบวนรถทั้งจักรยานยนต์ รถกระบะ
และการดูแลพี่น้องกทม. ปรากฏว่าไม่ได้รับค่าใช้จ่ายตามที่แกนนำสำคัญคนหนึ่งเคยแจ้งไว้ว่าจะแบ่งมาสนับสนุนกิจกรรมของกรุงเทพฯ
สุดท้ายพี่น้องก็ต้องควักกระเป๋าและบ้างก็ไปขอที่พรรคโดยตรง
หมอเหวงก็เสียใจที่ไม่อาจช่วยเหลือได้ตามที่เชื่อคำพูดเรื่องงบประมาณ
แต่ก็ไม่อาจทำให้การรวมตัวของประชาชนในกรุงเทพฯ น้อยลงไป ดังนั้นนับจาก 13 มีนาคม
ไปจนเกิดเหตุการณ์ 10 เมษายน ถือว่าเป็นระลอกแรกของการต่อสู้ของประชาชนเช่นกับปี
2552 ที่มีการกระชับพื้นที่และใช้กระสุนจริง
พร้อมทั้งพลซุ่มยิงปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน แต่การสูญเสียส่วนของทหารจากระเบิดขว้าง
M69 ที่ถนนดินสอ 2 ลูก มีความเสียหายในฝั่งทหารมาก
ในขณะที่ประชาชนก็ถูกกระสุนจริงยิงเสียชีวิตจำนวนมากเช่นกัน
รายละเอียดให้เปิดอ่านและดูใน VCD 3 ชุดคือ
ชุดที่
1 เหตุการณ์ 13 มีนาคม 2553 ถึง 9 เมษายน 2553
https://www.youtube.com/watch?v=j1i-HFGmG60&t=261s
ชุดที่
2 เหตุการณ์ วันที่ 10 เมษายน 366
https://www.youtube.com/watch?v=gIavhPiiE8w&t=188s
ชุดที่
3 ยุทธการ “ยิงนกในกรง” พฤษภา 53 (หลัง 10 เมษายน ถึง 19 พฤษภาคม 2553)
https://www.youtube.com/watch?v=kMx3M80-CJ4&t=679s
มีทั้งการบรรยายเหตุการณ์
ซึ่งเราจะได้นำมาลงเป็นตอน ๆ ต่อไป แต่สิ่งที่แตกต่างจากปี 2552 คือ
ด้านดี - ข้อเรียกร้องเมหาะสมทางการเมือง
- นปช.เข้มแข็งด้วยหลักนโยบายและยุทธศาสตร์ หลายคนเข้าใจผิดว่ายุทธศาสตร์ 2 ขาคือ ต่อสู้บนถนน 1 ขา และต่อสู้โดยเลือกพรรคเพื่อไทยอีก 1 ขา มันไม่ใช่!!! เราถือเวทีรัฐสภา 1 ขา (คือเลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ต่อต้านระบอบอำมาตยฯ ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ไม่ใช่ชื่อพรรค แต่เป็นหลักการ)
ถ้าพรรคเพื่อไทยไปเป็นร่วมส่วนกับฝ่ายระบอบอำมาตย์ เป็นเครือข่ายและเป็นพรรคนำที่มีคะแนนเสียงมากสุดของระบอบอำมาตย์ ก็แน่นอนว่า มวลชนเสื้อแดง นปช. ส่วนมากคงไม่เห็นด้วยและไม่ไปด้วย แม้จะผูกพันรักใคร่กันก็ตาม
- ในเวลานั้น พรรคเพื่อไทยถูกกระทำและมาร่วมสนับสนุนการชุมนุม ทำให้พื้นที่การชุมนุมและผู้ร่วมชุมนุมขยายมากมาย มี 2 จุดใหญ่คือ บริเวณสะพานผ่านฟ้า ซึ่งอยู่ท่ามกลางหน่วยงานรัฐและกองทัพ อีกส่วนไปตั้งที่สี่แยกราชประสงค์ ซึ่งอยู่ท่ามกลางศูนย์กลางธุรกิจทุนนิยม และใกล้สถานทูตต่าง ๆ มาก
เมื่อถูกปราบปรามจาก 10 เมษายน ก็ยังมายืนหยัดชุมนุมได้ที่แยกราชประสงค์ จนสิ้นสุดด้วยการปราบใหญ่ระลอกสองในเดือนพฤษภาคม
ด้านเสียคือ
ภาวะการนำที่ควรจะดี อันเนื่องมาจากการได้รับการยอมรับสูง คือคุณวีระกานต์
มุสิกพงศ์ ทั้งเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ แต่กลายเป็นว่า
ภาวการณ์นำรวมหมู่ล้มเหลว ยังมีภาวะวีรชนเอกชน คิดเอง ทำเองตามอำเภอใจ
ไม่ขึ้นต่อการนำรวมหมู่ และไม่ยอมรับการนำของคุณวีระ จนสุดท้ายคุณวีระกานต์ลาออก ทั้งที่ก่อนหน้านั้น
มติเกือบเป็นเอกฉันท์ให้ยุติการชุมนุมก่อนที่จะเสียหายมากเกินไป ตั้งแต่ก่อนวันที่
13 พฤษภาคม 2553 (ที่มีการยิงเสธ.แดงเสียชีวิต) แม้แกนนำสำคัญบางท่านจะเหน็บแนมว่าคบกับดิฉันแล้วต้องยุติการต่อสู้
ยุติการชุมนุมทุกที ดิฉันก็ยังไม่อาจทนให้มีการสูญเสียมากได้ จึงรับการติดต่อจาก
สว. ระบุชื่อได้คือ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 13 พฤษภาคม
เสียอีก เพื่อประสานว่าขอให้ยุติการชุมนุม แต่มีทั้งประเด็นคนที่ไม่ยอมยุติ
ด้วยเหตุผลใดก็ตาม สถานการณ์ก็ลุกลามบานปลาย แกนนำสำคัญไม่ยอมยุติตั้งแต่หลังวันที่
10 พฤษภาคม (หลังจาก 10 เมษายน 1 เดือน) สถานการณ์ก็รุนแรงเป็นลำดับ
ซึ่งอ่านจากรายงานรายละเอียดและ VCD ยิงนกในกรง
ซึ่งดิฉันเขียนสคลิปต์จากวารสาร “เสนาธิปัตย์ ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน -
ธันวาคม 2553
ที่รายงานรายละเอียดการดำเนินงานปราบปรามประชาชนอย่างภูมิใจว่าเป็นผลงานชิ้นเอกที่เป็นบทเรียนการปราบปรามการรบในเมือง
(ยกระดับเราเป็นกองกำลังอาวุธสู้รบในเมืองเสียงั้น)
ยังมีเรื่องที่น่าขำและหดหู่อีกเรื่องคือ
แม้แต่งานข่าวกรองต่างประเทศ (สหรัฐอเมริกา) เขามีสายลับทำงานในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
เขาเดินทางเข้ามาผ่านเต็นท์ผู้ชุมนุมแล้วเห็นถังแก๊สปิคนิคที่พี่น้องเราใช้หุงข้าวต้มแกงกิน
พวกเขาตกใจกันมาก คิดว่าเป็นการเตรียมระเบิดแบบภาคใต้
มีคนสถานทูตมาต่อว่าดิฉันว่า
“สันติวิธี” ทำไมมีถังแก๊สเตรียมระเบิด เราก็ต้องอธิบายไป จะเชื่อรึเปล่าก็ไม่รู้
เป็นมหาอำนาจเสียเปล่า
ไม่รู้จะไปร่วมชี้นำเห็นใจให้ปราบปรามประชาชนรุนแรงแบบเดียวกับยุคสงครามเย็นรึเปล่า?
นอกจากนั้นยังมีการขยายความว่า
เสธ.แดง เป็นผบ.ฝ่ายทหาร คุณวีระกานต์ เป็นฝ่ายการเมือง เขาจัดการเด็ดหัวเสธ.แดง
และคุณวีระกานต์ลาออก ที่เหลือมีกองกำลังทหาร อ้างว่ามีไม่ต่ำกว่า 500 คน
รายงานโกหกทั้งสิ้น เสธ.แดง แกมีลูกน้องเดินตามอย่างมากก็สิบคนเท่านั้น การ์ดเราก็อยู่กับตำรวจตลอดเวลา
ทำงานคู่กัน ไม่มีที่ลับปิดข่าว นักการทูต ทหาร สายลับ ตำรวจ เดินเข้า-ออก
เต็นท์เราได้ทุกเต็นท์ การ์ดเราร่วมกับตำรวจตรวจจับอาวุธผู้เข้าออกทุกวัน
มีแต่เจ้าหน้าที่ที่ปลอมตัวมาแล้วพกอาวุธเข้ามาทั้งนั้น
แม้เรามีนโยบายสันติวิธี
ทั้งในเอกสาร นปช. บัตร นปช. (ด้านหลัง) และความเป็นจริงที่ไม่มีกองกำลังอาวุธใด ๆ
ก็ไม่อาจช่วยให้ความต้องการปราบปรามประชาชนให้รุนแรงหนักกว่าปี 2552 จนได้
หนักกว่า 10 เมษายน 2553 จนแกนนำต้องประกาศยุติเมื่อ 19 พฤษภาคม 2553 เวลาบ่ายต้น
ๆ พวกแกนนำบางส่วนที่เป็นสายฮาร์ดคอร์ก็หลบไปหมด แต่ไม่รู้ไปอวดอ้างกับนายอย่างไรบ้าง
ไปขอเงินเพื่อรึเปล่า?
รายละเอียดเหตุการณ์
ดิฉันจะไม่เขียนตรงนี้ ขอให้อ่านทบทวนอีกจากที่ถอดความไว้จาก VCD
ที่ดิฉันทำไว้ตั้งแต่ปี 2555-2556 เป็นต้นมา รวมทั้งข้อสรุปความเสียหายการตาย 99
ศพ
และนี่คือปฐมเหตุที่เกิดการทำรัฐประหารในปี
2557 อีกครั้ง เพื่อกลบเกลื่อนความผิดที่จะถูกดำเนินคดีทั้งในและนอกประเทศ
ดิฉันเชื่อเช่นนั้น!
เพราะรัฐประหาร
2557 ก็ทำให้คดีความในการลงโทษ สอบสวนผู้ปราบปรามยุติลง ทั้งตำรวจ, DSI, อัยการ,
ป.ป.ช., ศาลพลเรือน และศาลทหาร
เราก็จะเปิดเผยข้อมูลและเรียกร้องความยุติธรรมให้ผู้เสียสละชีวิตในการต่อสู้ต่อไป
ไม่ใช่จ่ายเงินแล้วจบ
เพราะนี่คือความจริงในประวัติศาสตร์ที่ต้องเปิดเผยผู้ฆ่าประชาชน
หลังรัฐประหารคดีฝั่งผู้ถูกฆ่าถูกยุติ แต่พยายามฟ้องร้องกรณีชายชุดดำ,
กรณีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเละเทะทั้งสิ้น
ไม่มีการเอาผิดคนเสื้อแดงได้
แต่แกนนำยังถูกดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญาในคดีตั้งแต่ปี
2551, 2552, 2553
ครอบครัวเราต้องจ่ายเงินคดีแพ่งกว่าสิบล้านบาทด้วยกำลังของเราเอง
ไม่ได้สู้แล้วรวย!!!
ไม่ได้สู้เพื่อตำแหน่งทางการเมือง!!!
แต่กลับติดคุกและถูกชดใช้เงินกว่าสิบล้านบาท
(คดีที่มีการเผาตึกที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) ศาลเอาผิดแกนนำคดีนี้ 3 คน คือ
ณัฐวุฒิ, จตุพร และคุณหมอเหวง อีกคดีมีจำเลยคือ ณัฐวุฒิ, จตุพร และอริสมันต์
ตึกบริเวณสยามที่ถูกไฟไหม้)
หมอสลักธรรมก็ถูกรุ่นพี่ศิษย์เก่าจุฬาฯ
ฟ้องร้อง จะไม่ให้ปริญญาแพทย์ศาสตร์
เพราะใส่เสื้อกาวน์ยาวมีสัญลักษณ์สภากาชาดวันเจาะเลือดในการชุมนุม
ทั้งที่ในช่วงกปปส. ทั้งหมอโรงพยาบาลจุฬาฯ และบุคลากรทางการแพทย์
ใส่เสื้อกาวน์สัญลักษณ์กาชาดเดินขบวนกันเต็มไปหมด ดีที่ผลการพิจารณาของผู้บริหารไม่เอาผิดขนาดนั้น
ดิฉันลืมที่จะเล่าอีกอย่างคือ
ในช่วงการชุมนุม 2553 นั้น ดิฉันไม่ยินดีขึ้นเวทีปราศรัย
เพราะดิฉันถือตนเองเป็นนักต่อสู้ฝ่ายวิชาการอิสระ
ในช่วงนั้นจะขึ้นเวทีโรงเรียนการเมืองนปช.เท่านั้น
ดิฉันขีดเส้นไว้เพราะไม่ประสงค์จะแสดงตัวต้องการมีแสง เด่น ดัง หรือเอาบทบาทไปต่อรองทางการเมืองกับใคร
แต่หลังจากการปราบปรามปี
2553 ดิฉันต้องเป็นผู้นำทุกเวที ทุกพื้นที่ แรมเดือน แรมปี ในฐานะประธานนปช.
ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2553 จนถึง 2557 ที่มีการรัฐประหารเพื่อปิดฉากการสืบสวนสอบสวนคดีความของปี
2553 นั่นเอง
นี่ก็ไม่ทำให้เราย่อท้อที่จะถูกด่าทอจากพวกกองเชียร์ของพรรคการเมือง
ที่เราไม่เห็นด้วยกับการข้ามขั้วไปเป็นกำลังของระบอบอำมาตยาธิปไตย
เราจะเดินบนถนนในฐานะนักต่อสู้ประชาชนต่อไปจนสิ้นลมหายใจ
เพื่อถางทางให้คนรุ่นใหม่เดินต่อ จนกว่าจะต่อสู้ให้ได้
อำนาจการเมืองเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #รำลึก15ปีเมษาพฤษภา53 #ธิดาถาวรเศรษฐ #คนเสื้อแดง #นปช