“อังคณา” กังขา รัฐบาลปกปิด ส่ง “ชาวอุยกูร์” กลับ
ไม่เชื่อได้รับการดูแลอย่างดี ถาม “นายกฯ” ดีลอะไรไว้กับจีน ชี้มีเงื่อนงำ
ปิดเทปดำที่กระจก – จนท.ตม.ที่ดูแลผู้ลี้ภัยถูกให้ออกจากสำนักงานวันส่งตัว
วันที่
28 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.30 น.
ที่รัฐสภา นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.)
ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมประชาชน สิทธิมนุษยชน
สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภควุฒิสภา แถลงว่า กมธ.ได้ออกแถลงการณ์แสดงถึงความกังวลและห่วงใยต่อกรณีที่รัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์ทั้ง40
คนกลับไปประเทศต้นทาง
ซึ่งที่ผ่านมากมธ.ได้รับหนังสือร้องเรียนจากผู้กักขังได้เขียนจากเศษกระดาษส่งมาให้กมธ.เพื่อส่งต่อกงสุลใหญ่ผู้ภัยสหประชาชาติ
(UN) โดยระบุชัดเจนว่าไม่ประสงค์จะกลับประเทศจีน
โดยกมธ.ได้ทำหนังสือไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (กต.) ถึง 3 ครั้ง แต่ได้รับการปฏิเสธมาตลอด
ทั้งนี้
เมื่อกมธ.ประสงค์จะเข้าไปเยี่ยมผู้ลี้ภัย
แต่ก็ได้หนังสือตอบกลับมาว่าขอเชิญให้ไปพบที่สำนักงานตม. ดังนั้น
กมธ.จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงประกอบด้วย สำนักงานตม.
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม โดยทุกหน่วยงานต่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
และยังยืนยันว่าจะไม่มีการส่งชาวกุยอูร์กลับประเทศต้นทางอย่างเด็ดขาด
“ดิฉันได้มีโอกาสโทรศัพท์หาเลขาธิการสมช.ด้วย
ก็ได้รับการยืนยันเช่นกันว่าไม่มีคำสั่งให้ส่งกลับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่รัฐบาลออกมาแถลงเมื่อวานนี้
(27 ก.พ.) เป็นการปกปิดข้อเท็จจริง
และที่บอกว่าพวกเขาอยากกลับประเทศ ดิฉันว่าไม่มีใครเชื่อ รวมถึงกมธ.ด้วย
เพราะข้อมูลที่เราได้มาตลอดไม่ได้เป็นเช่นนั้น ” นางอังคณา กล่าว
นางอังคณา
กล่าวอีกว่า เมื่อครั้งที่ตนเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
(กสม.)ได้ไปเยี่ยมค่ายผู้ลี้ภัยหลายครั้ง ทุกคนแจ้งความจำนงอย่างเดียวคือ
ต้องการไปตั้งรกรากถิ่นฐานในประเทศที่สาม
โดยเราได้แจ้งทางการไปหลายครั้งว่ามีประเทศที่ 3 ที่แจ้งความประสงค์รับกลุ่มคนเหล่านี้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่
แต่ที่รัฐบาลอ้างว่าไม่มีประเทศไหนยอมรับนั้นจึงไม่เป็นความจริง
“เราจึงห่วงใยอย่างมากว่าสิ่งนี้จะกระทบต่อความเชื่อมั่นในเวทีโลก
และทำให้เห็นว่าประเทศไทยไม่เป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับคนที่ต้องการลี้ภัย ดิฉันจึงหวังว่ารัฐบาลจะชี้แจงข้อเท็จจริงและนำความจริงมาเปิดเผย
เพราะภาพที่เห็นเมื่อวาน (27 ก.พ.)
การที่มีคนเข้ามากอดหากดูจากสีหน้าของพวกเขา คิดว่าไม่ได้สมัครใจที่จะไปเลย
เพราะญาติพี่น้องของเขาอยู่ประเทศตุรกีอยู่แล้ว และเราก็รู้ดีว่าประเทศจีนมีสถานทีที่เรียกว่า “ค่ายฝึกอบรม”
หากใครเข้าไปแล้วจะไม่ได้รับการเยี่ยมเยียน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาข้างนอก
และทางยูเอ็นก็ห่วงใยและมีแถลงการณ์ในเรื่องดังกล่าวออกมาหลายฉบับด้วย
ดังนั้นการที่รัฐบาลทำเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง”
นางอังคณากล่าว
เมื่อถามว่าปรากฏภาพนายฉัตรชัย
บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปส่งถึงประเทศจีนด้วย
ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่ชี้แจงไว้กับกมธ.ว่าไม่มีแผนส่งกลับใช่หรือไม่ นางอังคณา
กล่าวว่า บอกตรงๆว่า สิ่งที่ท่านให้ข้อมูลกับกมธ.เป็นข้อมูลเท็จทั้งหมด
และสิ่งที่เราได้รับมาต่างจากที่หน่วยงานรัฐให้ข้อมูล
ตนได้โทรศัพท์ไปประสานหลายหน่วยงาน ทั้งระดับรัฐมนตรีจำนวนมาก แต่ไม่มีใครรับสาย
ตนทราบว่าเลขาสมช. ไปรอรับที่ประเทศจีนแล้ว
และคืนปฏิบัติการเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ดำเนินการด้านผู้ลี้ภัย
ก็ถูกสั่งให้ออกไปนอกอาคาร จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าหน่วยงานใดมารับชายอุยกูร์ออกไป
ที่สำคัญคือรถถูกปิดด้วยเทปสีดำทั้งหมด
ทั้งที่ปกติเวลาที่คนพวกนี้ถูกส่งตัวออกไปเขาจะพยายามโผล่หน้าออกมาและร้องขอความช่วยเหลือ
แต่การปิดเทปดำ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามปกปิด
“ไม่มีใครรับได้ ไม่ทราบว่ารัฐบาลไทยไปรับปากอะไรกับรัฐบาลจีนไว้
แต่รัฐบาลจะต้องไม่เอาสิทธิในเนื้อตัวร่างกายหรือชีวิตของคนบริสุทธิ์มาแลกเปลี่ยน”
นางอังคณา กล่าว
เมื่อถามว่า
การที่นายกรัฐมนตรีไปพบประธานาธิบดีประเทศจีน
มองว่ามีดีลแลกผลประโยชน์บางอย่างหรือไม่ นางอังคณา กล่าวว่า
ที่ผ่านมารัฐบาลจีนพยายามมาโดยตลอดที่จะนำผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้กลับประเทศ
ตนเชื่อว่าการที่นายกฯ ไปพบสี จิ้น ผิง น่าจะเป็นการส่งสัญญาณบางอย่าง ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะมีการเจรจาแลกเปลี่ยน
ขอให้ส่งชาวอุยกูร์กลับเพราะเกิดขึ้นหลังจากที่นายกฯกลับมาไม่นาน
“ใน 40 คนที่ถูกส่งกลับ เท่าที่ทราบ 1 ในนั้นมีผู้ป่วยติดเตียง
ดิฉันหวังว่าเขาจะได้รับการดูแลตามหลักมนุษยธรรมและจะไม่ถูกส่งกลับไปด้วย”
นางอังคณา กล่าว
นางอังคณา
ยังกล่าวว่า กมธ.เคยเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบว่า
หากอยากทราบว่าประเทศไหนต้องการรับชาวอุยกูร์บ้าง ทางกมธ.ยินดีบอก
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างประเทศไม่สามารถเปิดเผยได้
มองว่าหากรัฐบาลไทยมีเจตนาดี กมธ.ยินดีเป็นตัวประสานประเทศที่ 3 ให้พวกเขาไปตั้งรกราก
เมื่อถามว่า
กังวลเรื่องเทียร์อันดับการค้ามนุษย์ของไทยจะลดลงหรือไม่เพราะหน่วยงานที่จัดอันดับคือสหรัฐอเมริกานางอังคณา
กล่าวว่า เรื่องนี้มีแถลงการณ์จากหลายหน่วยงาน ทั้งองค์การสหประชาชาติ
ข้าหลวงแห่งสิทธิมนุษยชนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย (UNHCR) รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งใช้คำค่อนข้างรุนแรงร้ายแรงที่สุด การที่คนกลุ่มนี้อยู่มา 11 ปี เป็นเหตุผลที่ไทยควรผ่อนปรนให้เขาออกมาอยู่ข้างนอกหรือไปประเทศที่ 3
เรากังวลว่าเขาอาจจะไปเจออันตรายเมื่อเขากลับไป
“ภาพที่ออกมา เรียนตรง ๆ ดิฉันไม่เชื่อ ว่าเขาจะได้รับการดูแลอย่างดี
สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ มีศักดิ์ศรีเหมือนคนทั่วไป” นางอังคณา กล่าว
เมื่อถามว่ากังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนระเบิดพระพรหมเอราวัณหรือไม่
นางอังคณา กล่าวว่า คนอุยกูร์เดินทางออกนอกประเทศ เขาอยู่ในแทบทุกประเทศทั่วโลก
ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลว่าอาจจะมีการประท้วงรัฐบาลไทยในหลายประเทศตามมา
ส่วนกมธ.จะติดตามเรื่องนี้อย่างไรนั้น
ตนทราบว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมบอกว่าจะนำสื่อไปดู
ในฐานะกมธ.เรายินดีที่จะไปตรวจสอบด้วย แต่ต้องมั่นใจว่าจะได้พบตัวจริง
ตอนที่ตนเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชน ตนไปหลายครั้ง จำหน้าได้แทบทั้งหมด
รวมถึงจะต้องสามารถไปคุยกับเขาได้โดยที่ไม่มีการดักฟังหรือสอดแนมรัฐบาลจีนควรอนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการคุมตัวโดยพลการ
ของสหประชาชาติเข้าไปตรวจสอบด้วย
ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยต้องใจกว้างให้คณะทำงานเรื่องบังคับสูญหาย
เข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ของคนที่อยู่ในประเทศไทย
ทั้งนี้
นางอังคณา ได้เปิดเผยจดหมายที่ชาวอุยกูร์ฝากออกมาจากห้องกักกัน เพื่อให้นำส่ง UNHCR โดยมีใจความว่า
“พวกเราเป็น 48 ชาวอุยกูร์ ที่ถูกกักที่สวนพลู ตั้งแต่ปี 2013
และพวกเราไม่ต้องการที่จะกลับไปประเทศจีน
ถ้าเรากลับไปจะถูกจำคุกหรือถูกฆ่า ดังนั้น พวกเราจึงต้องการความช่วยเหลือจาก UNHCR”