วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

“ภูมิธรรม” สั่ง สมช. แจ้ง กฟภ. ตัดไฟเมียนมา ไม่ต้องเข้าครม.


“ภูมิธรรม” สั่ง สมช. แจ้ง กฟภ. ตัดไฟเมียนมา ไม่ต้องเข้าครม.


วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความชัดเจนในการออกคำสั่งให้ตัดไฟที่จ่ายไปยังเมียนมาว่า เรื่องไฟฟ้าส่งผลกระทบอย่างรุนแรง การขายไฟเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี 2535 ที่มีการนำเรื่องเข้า ครม. และครั้งที่สอง 2537 ที่มีมติให้ขายไฟได้ตามแนวชายแดน โดยไม่จำเป็นต้องนำเรื่องเข้า ครม. และดำเนินการในทางปฏิบัติไปตามปกติ


นายภูมิธรรม กล่าวว่า ดังนั้น กฟภ.มีอำนาจ โดย พ.ร.บ.การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 2503 มาตรา 67, 42 เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2537 อนุมัติให้จ่ายไฟฟ้าไปยังเมืองท่าขี้เหล็ก และต่อมาเมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2539 ให้ กฟภ.ขายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้าน บริเวณหมู่บ้านแนวชายแดนไทย โดยไม่ต้องขออนุญาตในระดับนโยบาย แต่ให้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) รับทราบ ส่วนการงดและระงับจ่ายไฟฟ้า หรือยกเลิกจ่ายไฟฟ้า กฟภ.สามารถทำได้เองตามสัญญาโดยไม่ต้องเสนอ ครม.อนุมัติก่อน และไม่ต้องเสนอ กพช. รับทราบ โดยสัญญาที่ กฟภ.ไปเซ็นไว้กับบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด ส่งไฟฟ้าไปเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน และในหนังสือกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 31 ม.ค. 2568 ว่ายังมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไปเมียนมา ฉบับอื่นอีก 4 ฉบับ รวม 5 จุด


นายภูมิธรรมกล่าวว่า หากดูตามสัญญาที่มีอยู่จะมีกำหนดว่า ผู้ซื้อยินยอมปฏิบัติตามข้อกำหนดและระเบียบของ กฟภ. ในการใช้จ่ายไฟฟ้าให้กับประชาชนที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันและในอนาคต หากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือผิดเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใด ผู้ซื้อต้องยอมให้ กฟภ. งดจ่ายไฟฟ้าและบอกเลิกสัญญาได้ ชี้ให้เห็นว่ามีอำนาจที่ทำได้ ในกรณีที่ กฟภ.ไม่สามารถจ่ายไฟได้ เช่น เกิดเหตุขาดแคลนไฟฟ้า ความจำเป็นที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคงของประเทศ ตลอดจนผู้ซื้อกระทำการใดใดอันมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศ ต่อเส้นเขตแดนหรือแนวสันปันน้ำ กฟภ.สามารถงดจ่ายไฟทั้งหมดหรือบางส่วนได้ โดยผู้ซื้อไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย และระเบียบ กฟภ.ว่าด้วยการใช้ไฟฟ้าและบริการ 2562 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในสัญญา มีข้อหนึ่งระบุว่า กฟภ.งดจ่ายไฟฟ้าได้ หากเห็นว่าการไฟฟ้านั้นกระทบต่อความมั่นคงของชาติ


นายภูมิธรรม ยังกล่าวอีกว่า ต้องพิจารณาว่าขณะนี้มีความจำเป็นที่เกี่ยวกับความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของประเทศหรือยัง หากดูจากข้อมูลพบว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ส่งผลกระทบกับประชาชนอยู่ขณะนี้ โดยข้อมูลจากศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ ตำรวจแห่งชาติระบุว่าระหว่างเดือน มี.ค. 2565 - มิ.ย. 2567 คนไทยตกเป็นเหยื่อคอลเซ็นเตอร์กว่า 575,500 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 65,715 ล้านบาท เฉลี่ยความเสียหายวันละกว่า 80 ล้านบาท เรื่องนี้จึงถือว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศในหลายมิติ รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจ หากพบว่าผู้ใช้ไฟฟ้าจาก กฟภ.ไปจำหน่ายต่อให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติอื่น กฟภ. สามารถใช้สิทธิตามสัญญา จ่ายพลังงานไฟฟ้าให้น้อยลงหรืองดจ่ายได้


รองนายกฯ กล่าวเพิ่มว่า เรื่องนี้ไม่สบายใจที่มีการโยนกันไปมา ว่าไม่สั่งมาแล้วทำไม่ได้ อีกฝ่ายบอกยังไม่รู้ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร ทั้งที่มีข้อมูลสืบทราบได้ว่ามีปัญหา ให้สั่ง สมช. เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาคุย และยืนยันว่ากระทบความมั่นคงจริง ที่จริงไม่ต้องให้ สมช.ชี้ และตนรับรายงานว่ามีการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้นกว่าปกติ รวมถึงมีปัญหาเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ควรเข้าไปดำเนินการ ไม่ใช่สนใจแต่การขายไฟฟ้าอย่างเดียว หากจะค่อย ๆ ตัดไฟจะช้าเกินไป เพราะปัญหารุนแรง ตนจะสั่งการ สมช. ให้แจ้ง กฟภ. และหน่วยที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการตัดไฟทันที ไม่ใช่รอและโยกไปโยกมา


“ผู้บังคับหน่วยส่วนใดหรือผู้รับผิดชอบหน่วยไหนให้ปฏิบัติโดยทันทีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถ้าไม่ปฏิบัติตามให้เกิดผลโดยทันที และเรื่องนี้ไม่ต้องเข้า ครม. ถ้าล่าช้าและไม่จัดการภายในไม่กี่วันนี้ ผมจะยืมตัวมาช่วยราชการ ขอให้ไปพิจารณาก็แล้วกันว่าควรจะจัดการแค่ไหน” นายภูมิธรรมกล่าว


วันนี้ชัดเจนแล้วว่า สั่งการให้ตัด ไม่ต้องมาถามว่าเป็นเพราะอะไร กฟภ. ถึงไม่ตัด หรือมั่วแต่สนใจขายไฟอย่างเดียว มีเรื่องที่เกิดขึ้นซึ่งเสียหายมากกว่าไฟที่ขายได้ ส่วนจะมีนอกมีในหรือไม่ ตนไม่รู้ แต่ให้ไปจัดการเรื่องนี้ให้จบ


ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการประชุม ครม.จะต้องคุยกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ตนบอกผ่านสื่อแล้ว และจะสั่งการผ่าน สมช.อีกครั้ง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ภูมิธรรม #ตัดไฟเมียนมา #ตัดไฟคอลเซ็นเตอร์ #สั่งตัดไฟ