วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2567

สาส์นจาก อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ กรณีทวงความยุติธรรมปี 2553 ถึง พรรคเพื่อไทย

 


มีหลายท่านสงสัยเรื่องการทวงความยุติธรรมกรณีปี 2553 ที่อาจมีข้อเรียกร้องและตอบสนองอย่างไร?


ดิฉันขอเรียนว่า ในห้วงเวลาปีพ.ศ. 2564 – 2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้ง 2566 ดิฉันและคณะประชาชนทวงความยุติธรรม ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มญาติวีรชน 2553 กลุ่มทนาย นักกฎหมาย และอดีตแกนนำนปช. เช่นดิฉัน, คุณหมอเหวง และประชาชนคนเสื้อแดงส่วนหนึ่ง ได้ร่วมกันปรึกษาหารือที่จะรื้อฟื้นคดีความที่ต้องยุติไปหลังมีการทำรัฐประหาร 2557 ด้วยการยุติการทำสำนวนไต่สวนชันสูตรพลิกศพกว่า 60 คดี และการขึ้นสู่ศาลอาญา ในบางคดีถูกโยกไป ป.ป.ช. กรณีนักการเมือง และทหารไปสู่ศาลทหาร นั้น


เราจึงมีการปรึกษาหารือฝ่ายกฎหมายที่ทำคดีมาเก่า ตั้งแต่ต้นจนถึงวาระที่คล้ายจะจบ รวมทั้งคดีอื่น ๆ ของคนที่ถูกจับภายหลังรัฐประหารด้วย สรุปข้อเรียกร้องเป็นข้อเสนอสำหรับกรณีปี 2553 เฉพาะหน้า 3 ข้อ คือ


1) ตั้งคณะกรรมการและคณะทำงาน ซึ่งประกอบด้วย ตัวแทนฝ่ายรัฐบาลที่มีอำนาจสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนพรรคการเมืองฝ่ายค้าน และตัวแทนฝ่ายผู้สูญเสีย, นักวิชาการ, นักสิทธิมนุษยชน, นักกฎหมาย เพื่อตรวจสอบคดีความกรณีปี 2553 ที่ถูกแช่แข็ง บิดเบือน ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายรัฐไทยตามหลักนิติรัฐนิติธรรม รวมทั้งคดีความที่ปฏิบัติต่อเยาวชน/ประชาชนหลังปี 2563 เป็นต้นมา ให้เป็นไปตามกฎหมายที่ได้ลงนามหลักสิทธิมนุษยชนและกติการะหว่างประเทศขององค์การสหประชาชาติ เร่งรัดคดีความที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อประชาชน และยังค้างคาอยู่ที่หน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), กระทรวงยุติธรรม, อัยการ ฯลฯ


2) แก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ พระธรรมนูญศาลทหาร, พระธรรมนูญศาลยุติธรรม, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีที่ทหารและนักการเมืองทำความผิดทางอาญาต่อประชาชน ให้ขึ้นศาลพลเรือน ไม่ใช่ทหารขึ้นศาลทหาร นักการเมืองขึ้นศาลนักการเมือง ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ทำให้ทหารและนักการเมืองไม่ได้ถูกดำเนินคดีเฉกเช่นประชาชนทั่วไป


3) ขอให้ลงนามรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ เฉพาะกรณีเหตุการณ์ 2553 ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับมาตรา 6 ในรัฐธรรมนูญ ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์แต่ประการใด ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามที่อัยการศาล ICC ได้มาแจ้งไว้กับรัฐบาลเพื่อไทยเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2555


ทั้งนี้ เราไม่ได้เสนอข้อที่พรรคเพื่อไทยและอดีตแกนนำที่เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เสนอให้ญาติฟ้องร้องไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองโดยตรง เพราะเราพิจารณาว่า เป็นปัญหาทางเดินที่ถูกชี้มาผิดพลาดแต่ต้น เพราะนักการเมืองเหล่านั้นไม่ได้ทำตามอำนาจนายกรัฐมนตรีและผอ.ศอฉ.ที่ถูกต้อง เป็นการกระทำที่เล็งเห็นผลว่าจะมีการตายเกิดขึ้นแน่นอน ด้วยการอนุมัติกระสุนจริง, พลซุ่มยิง และกำลังพลมากมายมหาศาล มีการใช้กระสุนนับแสนนัด กระสุนซุ่มยิงกว่า 500 นัด มันต้องเล็งเห็นผลว่าจะต้องมีการตายเกิดขึ้น จึงสั่งการเช่นนั้นได้ และจนบัดนี้ก็ไม่มีข้อพิสูจน์ใด ๆ ผ่านมา 14 ปีแล้ว ว่ามีกองกำลังอาวุธของนปช.  คนเสื้อแดง เรื่องชายชุดดำมีอาวุธ และตัดสินใจว่านี่ไม่ใช่การต่อต้านการจลาจลด้วยซ้ำ แต่ถือเป็นการก่อการร้ายและการสู้รบในเมือง


นี่เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ต้องมีคนรับผิดชอบ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกต่อไป ผู้ฆ่า-ผู้สั่งฆ่า ลอยนวลพ้นผิด มีแต่การคร่ำครวญถึงชะตากรรมของประชาชนยุคแล้วยุคอีกเท่านั้น ดังนั้น เราไม่เสนอทางเลือกที่พรรคเพื่อไทยเลือก


แต่ถือเป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยตัดสินใจเองที่ไม่สนับสนุนข้อเสนอเราแม้แต่ข้อเดียว เช่น การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ เร่งรัด ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่พักต้องพูดถึงข้อเสนอแก้กฎหมายให้นักการเมืองและทหารที่ทำผิดคดีอาญาร้ายแรงต่อประชาชนให้ขึ้นศาลพลเรือนปกติ หรือเหตุการณ์ย่ามใจ ฆ่าประชาชน สั่งฆ่าประชาชนที่เล็งเห็นผลการตายเกิดขึ้น ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป อยากให้เข็ดหลาบบ้างว่า ชีวิตประชาชนมีค่า ไม่ใช่แค่โยนเงินเยียวยาแล้วจบกัน!


ดิฉันและคณะฯ ได้พยายามทำเต็มที่ในฐานะกลุ่มองค์กรประชาชนอิสระ (อิสระจริง ๆ ไม่อิงใคร) ไปพบพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลหลายรอบมาก แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยเลือกจะทำตามที่พวกท่านคิดได้แค่นั้น คือเอาผิดเฉพาะนักการเมืองบางคน (ซึ่งมีโอกาสเป็นไปไม่ได้สูงมาก) ก็ขอให้ท่านอดีตแกนนำสายพรรคที่พยายามร่วมกับพรรคเพื่อไทย โชคดี!!!!!


ถ้าทำได้ ก็ให้ญาติลองฟ้องร้องตามนั้น (ไปตามเส้นทางที่พวกเขาขีดให้เดิน)


แต่ดิฉันและคณะฯ จะร่วมกับกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน เพื่อดำเนินการต่อในสิ่งที่ต้องทำตามกฎหมาย และการแก้กฎหมายเพื่ออนาคตของประเทศ


ดิฉันเคยเดินหน้าเรื่องศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC จนอัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศมาขอร้องพรรคเพื่อไทย (รมว.ต่างประเทศ) ขณะนั้น ให้อนุญาตให้เขาเข้ามาดำเนินการสืบสวน พรรคเพื่อไทยก็ไม่อนุญาตมาแล้ว


นี่ก็จะเป็นการพิสูจน์หัวใจพรรคเพื่อไทยอีก ว่าจะทำตามที่ฝ่ายตนเองเห็นชอบเท่านั้น หรือไม่?


เราก็คงยังเดินหน้าต่อไป และให้คนรุ่นใหม่ได้รับความเข้าใจว่า นี่เป็น ความอยุติธรรมในระยะที่เปลี่ยนไม่ผ่าน คือยังอยู่ในระบอบสืบทอดอำนาจเผด็จการจารีตนิยมแท้ ๆ


ธิดา ถาวรเศรษฐ

เลขาธิการกรรมการคณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 (คปช.53)

30 กันยายน 2567


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คปช53 #คนเสื้อแดง #เมษาพฤษภา53 

“เผ่าภูมิ” ปลื้ม “ธนารักษ์” จัดเก็บ 1.4 หมื่นล้าน ทะลุเป้า 25% พุ่งขึ้น 58% สูงสุดในรอบ 91 ปี ตั้งแต่ก่อตั้ง

 


“เผ่าภูมิ” ปลื้ม “ธนารักษ์” จัดเก็บ 1.4 หมื่นล้าน ทะลุเป้า 25% พุ่งขึ้น 58% สูงสุดในรอบ 91 ปี ตั้งแต่ก่อตั้ง


วันนี้ (30 กันยายน 2567) ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการจัดเก็บรายได้ของกรมธนารักษ์ปีงบประมาณ 2567 ดังนี้


1. จัดเก็บรายได้ประจำปีงบประมาณ 2567 รวม 14,419 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 57.9% สูงกว่าประมาณการ 25.4% สูงที่สุดในรอบ 91 ปี สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งกรมธนารักษ์ ซึ่งเป็นผลจากการเร่งรัดการประมูลที่ราชพัสดุทั่วประเทศ การต่อสัญญาผู้เช่ารายใหญ่อย่างมียุทธศาสตร์ การเพิ่มพื้นที่การจัดหาประโยชน์ รวมถึงค่าทดแทนเวนคืนที่ดินต่างๆ


2. มีจำนวนผู้เช่าที่ราชพัสดุ 225,820 ราย แบ่งเป็นเชิงสังคม 86% และเชิงพาณิชย์ 14% หากคิดเป็นสัดส่วนรายได้ กรมธนารักษ์มีรายได้จากเชิงพาณิชย์สูงถึง 98% และเชิงสังคม 2% ทั้งนี้กรมธนารักษ์ได้มอบค่าเช่าราคาต่ำให้แก่ที่ราชพัสดุเพื่อที่อยู่อาศัยและเพื่อประกอบการเกษตร เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะโครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์


3. กรมธนารักษ์ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่การจัดหาประโยชน์ในที่ราชพัสดุปีละ 9-10% โดยเร่งเรียกคืนที่ราชพัสดุในครอบครองของหน่วยงานรัฐ แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยในปีงบ 2567 ได้ดำเนินการแล้วเสร็จราว 24,000 ไร่ ซึ่งในส่วนนี้จะนำมาสู่การจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต


4. ตั้งเป้ารายได้รวม 55,000 ในแผนระยะ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2566-2570 โดยเร่งเพิ่มค่าเช่าสำหรับเพื่อการพาณิชย์ของภาคเอกชนโดยมีเป้าหมาย ROA ที่ 3% แต่ยังคงดำเนินนโยบายค่าเช่าผ่อนปรนให้กับประชาชนที่เช่าในเพื่อที่อยู่อาศัยและเกษตรกรรม


5. ในปีงบประมาณ 2568 กรมธนารักษ์จะดำเนินโครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ มอบสัญญาเช่าที่ดินที่ราคาต่ำให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เราตั้งเป้าทำให้ดีขึ้น เร็วขึ้น มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยและอาชีพให้ประชาชนที่มีรายได้น้อย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กรมธนารักษ์

“สวนดุสิตโพล” เผยผลสำรวจดัชนีการเมืองไทย เดือน ก.ย. 67 ฝ่ายรัฐบาล “แพทองธาร” เป็นอันดับ 1 ขณะที่ฝ่ายค้าน “พิธา” เป็นอันดับ 1

 


“สวนดุสิตโพล” เผยผลสำรวจดัชนีการเมืองไทย เดือน ก.ย. 67 ฝ่ายรัฐบาล “แพทองธาร” เป็นอันดับ 1 ขณะที่ฝ่ายค้าน “พิธา” เป็นอันดับ 1


เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2567 มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้เปิดเผย “สวนดุสิตโพล” ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนกันยาน 2567) จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 2,183 คน ระหว่างวันที่ 23-27 กันยายน 2567 โดยมีตัวชี้วัด 25 ประเด็นที่บอกถึงความเชื่อมั่นต่อการเมืองไทยในด้านต่าง ๆ ซึ่งแต่ละตัวชี้วัดจะมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน สรุปผลเรียงลำดับจากค่าคะแนนสูงสุดไปถึงต่ำดัง ได้ดังนี้


สำหรับ “ดัชนีการเมืองไทย” เดือนกันยายน 2567 ภาพรวมคะแนนเต็ม 10 ได้ 4.80 คะแนน (เดือนสิงหาคม 2567 ได้ 4.46 คะแนน)


ต่อมา ประชาชนให้คะแนน 25 ตัวชี้วัด “ดัชนีการเมืองไทย” โดยคะแนนเต็ม 10 เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้


1. ผลงานของฝ่ายค้าน 5.41 คะแนน

2. ผลงานของนายกรัฐมนตรี 5.12 คะแนน

3. ความมั่นคงของประเทศ 5.06 คะแนน

4. การพัฒนาด้านการศึกษาสำหรับประชาชน 5.00 คะแนน

5. การบริหารประเทศตามนโยบายที่ประกาศไว้ 4.99 คะแนน

6. ผลงานของรัฐบาล 4.98 คะแนน

7. สิทธิและเสรีภาพของประชาชน 4.97 คะแนน

8. การมีส่วนร่วมของประชาชน 4.92 คะแนน

9. เสถียรภาพทางการเมือง 4.91 คะแนน

10. การดำเนินงานของพรรคการเมืองโดยภาพรวม 4.90 คะแนน

11. การแก้ปัญหาต่าง ๆ ในภาพรวม 4.89 คะแนน

12. สภาพสังคมโดยรวม 4.85 คะแนน

13. ค่าครองชีพ เงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการ 4.84 คะแนน

14. การปฏิบัติตนและพฤติกรรมของนักการเมือง 4.81 คะแนน

15. การพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า 4.76 คะแนน

16. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 4.75 คะแนน

18. การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ 4.74 คะแนน

19. กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม 4.66 คะแนน

20. สภาพเศรษฐกิจโดยภาพรวม 4.64 คะแนน

21. ราคาสินค้า 4.55 คะแนน

22. การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ความโปร่งใส 4.45 คะแนน

23. การแก้ปัญหาการว่างงาน 4.40 คะแนน

24. การแก้ปัญหายาเสพติดและผู้มีอิทธิพล 4.33 คะแนน

25. การแก้ปัญหาความยากจน 4.32 คะแนน


ประเด็นต่อมาคือ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ประชาชนคิดว่ามีบทบาทโดดเด่นในเดือนกันยายน 67


นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล

- แพทองธาร ชินวัตร 51.70%

- อนุทิน ชาญวีรกูล 29.94%

- พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค 18.36%


นักการเมืองฝ่ายค้าน

- พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 38.43%

- ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ 34.10%

- ศิริกัญญา ตันสกุล 27.47%


สุดท้าย ผลงานของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ประชาชนชื่นชอบในเดือนกันยายน 67


ผลงานฝ่ายรัฐบาล

- เริ่มจ่ายเงิน 10,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบาง 61.33%

- ลงพื้นที่ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 21.40%

- ตรึงราคาก๊าซหุงต้มต่ออีก 3 เดือน 17.27%


ผลงานฝ่ายค้าน

- การตรวจสอบงบประมาณปี 2568 50.78%

- ติดตามและตรวจสอบเงิน 10,000 บาท 26.56%

- เสนอแผนแก้น้ำท่วมระยะยาว 22.66%


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สวนดุสิตโพล


“จดหมายตัวแทนของอิสรภาพ และความหวังที่ยังถูกกักขัง” วงเสวนา เล่าความฝัน ความหวัง การขับเคลื่อน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ปล่อยผู้ต้องขังทางการเมือง

 


“จดหมายตัวแทนของอิสรภาพ และความหวังที่ยังถูกกักขัง” วงเสวนา เล่าความฝัน ความหวัง การขับเคลื่อน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ปล่อยผู้ต้องขังทางการเมือง


เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2567 เวลา 18.30 - 19.30 น. ที่ KINJAI CONTEMPORARY เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ภายใน นิทรรศการ “ซ่อน(ไม่)หา(ย)” มีการจัดเสวนา 'จดหมายตัวแทนของอิสรภาพ และความหวังที่ยังถูกกักขัง' โดยวงเสวนาดังกล่าว เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่อง 'จดหมาย' ที่เป็นเหมือนสื่อกลางในการส่งต่อความหวังและกำลังใจ ทั้งคนในส่งออกมา คนนอกส่งเข้าไป ทำให้เรื่องราวของพวกเขายังไม่หายไป


สำหรับประเด็นวงพูดคุยเป็นเรื่องราวของ นกกระเรียน 1,000 ตัว ที่พับระหว่างตอนอยู่ในเรือนจำถูกยึดไป เวลาที่คนในเรือนจำได้รับจดหมายที่เขียนเข้าไป จากทั้งคนรู้จักและไม่รู้จัก มันมีความหมายกับเขายังไง ถึงเราจะส่งจดหมายกันได้วันละ 100 ฉบับ ก็ไม่เทียบเท่าไม่ได้กับอิสรภาพของจริง แล้วเรายังมีหวังอยู่ไหมที่พวกเขาจะได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง และเราจะหล่อเลี้ยงความหวังนั้นไว้อย่างไร และในประเด็นอื่น ๆ


โดยมีผู้ร่วมเสวนา นางสาวแสงเทียน เผ่าเผือก เจ้าหน้าที่ฝ่ายรณรงค์สาธารณะ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล, นางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ หรือ ทนายเมย์ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และนายถิรนัย เป๋าอยู่ หรือ ธี อดีตผู้ต้องขังคดีครอบครองวัตถุระเบิดปิงปอง ซึ่งถูกค้นพบก่อนมีการชุมนุม #ม็อบ29สิงหา64 และ อดีตการ์ดผู้ชุมนุมอาชีวะฯ ดำเนินรายการโดย นายณัฐชนน ไพโรจน์


นางสาวแสงเทียน เผ่าเผือก เจ้าหน้าที่ฝ่ายรณรงค์สาธารณะ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า เราต้องเข้าใจว่ากฎหมายว่าการติดต่อสื่อสารของผู้ต้องขังระบุไว้ในกฎระหว่างประเทศรวมถึงสิทธิคือสิทธิขั้นพื้นฐาน ตอนนั้นตนได้ไปเข้าพบกับตัวแทนกรมราชทัณฑ์ว่าเจ้าหน้าที่ไม่พอ ตนจึงอยากสอบถามว่าทางนโยบายจะมีวิธีการแก้ไขหรือไม่แทนที่จะไปจำกัดสิทธิ์ของผู้ต้องขัง ถ้าไปจำกัดสิทธิ์การรับส่งจดหมายนั่นหมายความว่าคุณกำลังกระทำการกระทบสิทธิ์ต่อผู้ต้องขังและผู้คนข้างนอกที่ต้องการจะสื่อสารกับเพื่อนของเขา จึงไม่ควรทำแบบนั้น


“จดหมายถือเป็นวิธีทางหนึ่งที่จะทำเช่นนั้น ยิ่งเราเขียนจดหมายหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อให้จะเจออุปสรรคอะไรก็แล้วแต่ ยิ่งคนเขียนเยอะตนมองว่าเป็นการบอกกับผู้มีอำนาจว่าคนอยู่ในเรือนจำว่ามีคนข้างนอกรอการออกมา คนเหล่านี้ไม่ถูกลืม เป็นหน้าที่ของผู้มีอำนาจที่จะคนเหล่านี้ต้องได้รับความยุติธรรม และประชาชนทั่วไปก็สามารถร่วมกันจับตาและสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้ผ่านให้ได้“ นางสาวแสงเทียน เผ่าเผือก กล่าว


ด้านนางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ หรือ ทนายเมย์ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า เราคิดว่าเรามีความหวังเสมอและความหวังหลักที่เราฝากไว้คือความหวังจากประชาชนเพราะตนเชื่อว่าสิทธิเสรีภาพและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมมีมาตลอด ในช่วงก่อนปี 2563 สิ่งที่ คสช. ทำมากที่สุดคือการทำลายนิติรัฐ ซึ่งภายหลังจากปี 63 มีคนพูดถึงมากขึ้น มีคนสนับสนุนกองทุนราษฎรประสงค์มากขึ้น ซึ่งเรามีความหวังกับสิ่งนี้เสมอแม้ว่ามันจะไม่พอ สิ่งที่เราจะต้องทำคือการต้องขยายแนวร่วมมากขึ้น ตนคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่จะเราต้องทำ และเราอาจจะต้องพูดไปเรื่อย;ๆ และทำข้อมูลไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความรับรู้ของผู้คนจำนวนมาก จึงจำเป็นที่ต้องมีคนที่ทำงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และถ้าเราไม่หยุดทำ เราจะมีความหวังและนำตัวเองเป็นฟันเฟือง เก็บความหวัง เก็บความสำเร็จ ตนเชื่อว่าจะได้เป็นการเปลี่ยนแปลงสังคมเรื่อย ๆ สำหรับเรื่องของชัยชนะตนเองก็การันตีไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นการส่งเสริมว่าพลังของตัวเองและความสำเร็จของตัวเองและความสำเร็จของผู้อื่น ที่อยู่บนพื้นฐานบนความเป็นจริงที่ขับเคลื่อนในทุก ๆ วัน


ธี ถิรนัย กล่าวว่า ก้าวแรกที่ตนเข้าสู่วงการการเมืองคือในช่วงของพลเอกประยุทธ์ ซึ่งตอนนั้นอายุ 20 ปี ซึ่งตอนนั้นตนมองว่ามันไม่ใช่ และสิ่งที่ตนอยากทำคืออยากนั่งไปทำเนียบรัฐบาล หรือ สภาฯ ก็คาดหวังว่าจะเข้าไปการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ประเทศไทยดีขึ้น ตอนอยู่ในเรือนตำตนได้พับ นกพิราบ 1,000 ตัว โดยหวังว่าถ้าได้ออกจากเรือนจำ จะนำมาโปรย แต่สุดท้ายก็ถูกยึดไป ก่อนออกจากเรือนจำเพื่อนผู้ต้องขังได้แก่เก็ท โสภณ หนุ่ม สมบัติ ทองย้อย และทนายอานนท์ได้ถามว่าจะเอายังไงต่อ ตนก็ตอบไปว่าตนจะเดินหน้านิรโทษกรรม ซึ่งตนได้ให้คำมั่นสัญญากับเพื่อนผู้ต้องขังทั้งสามคนนี้ไว้แล้ว 


”เมื่ออดีตตนอยู่ข้างใน ตนเชื่อมั่นว่าเค้าจะเดินหน้าทำต่อ อย่างที่บอกว่าเรื่องพรบนิรโทษกรรม ตนก็หวังว่าประเทศไทยจะสงบสุขและไม่มีความขัดแย้ง ก็อยากจะฝากถึงรัฐบาลให้ผ่านร่างกฎหมายพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมไปด้วยกันของทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น กปปส. กลุ่มสามนิ้ว กลุ่มคนเสื้อแดง” ธี ถิรนัย กล่าวทิ้งท้าย


สำหรับนิทรรศการ ซ่อน(ไม่)หา(ย) Presumption of Innocence at KINJAI CONTEMPORARY จะจัดต่อเนื่อง ถึงวันที่ 27 ต.ค. 67 โดยมีเวลาเปิดทำการ  

วันอังคาร - วันอาทิตย์ (ปิดทำการวันจันทร์)  

12.00 - 20.00 น.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ซ่อนไม่หาย #นิรโทษกรรมประชาชน




วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2567

'รองนายกฯ ประเสริฐ' เผยรัฐบาลเร่งฟื้นฟูอุทกภัยภาคเหนือ คืบหน้ากว่าร้อยละ 80 ระดมทุกฝ่ายเฝ้าระวังสถานการณ์ฉุกเฉิน-เร่งช่วยเหลือประชาชน วอนอย่าหลงเชื่อ 'ข่าวปลอม' ขอให้ตรวจสอบข้อมูลเตือนภัยจากภาครัฐ

 


'รองนายกฯ ประเสริฐ' เผยรัฐบาลเร่งฟื้นฟูอุทกภัยภาคเหนือ คืบหน้ากว่าร้อยละ 80 ระดมทุกฝ่ายเฝ้าระวังสถานการณ์ฉุกเฉิน-เร่งช่วยเหลือประชาชน วอนอย่าหลงเชื่อ 'ข่าวปลอม' ขอให้ตรวจสอบข้อมูลเตือนภัยจากภาครัฐ


วันที่ 29 กันยายน 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ( ศปช.) เปิดเผยว่า จากการติดตามนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่และลำปาง เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม พร้อมทั้งเร่งฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิม และมาตรการเยียวยาผู้ประสบภัย พบว่ามีการดำเนินการแผนฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยเชียงรายดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง โดยหลายพื้นที่ในเขตเทศบาลเมืองเชียงรายเริ่มกลับสู่สภาวะปกติแล้ว ซึ่งคาดว่าภายในเดือน ตุลาคม 2567 พื้นที่ส่วนใหญ่ของ อ.เมืองเชียงราย และ อ.แม่สาย จะกลับคืนสู่สภาพปกติได้ โดยมาตรการเร่งด่วนคือเร่งฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา และสัญญาณโทรคมนาคม การฟื้นฟูสภาพบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชนกลุ่มเปราะบาง การคืนสภาพเส้นทางสัญจร ซึ่งหลายพื้นที่มีความคืบหน้ากว่า 80% แล้ว 


นายประเสริฐ กล่าวว่า สำหรับมาตรการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย เบื้องต้นได้ดำเนินการตามที่มติ ครม. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 เห็นชอบให้อนุมัติกรอบวงเงิน 3,045 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน เพื่อเยียวยาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบอุทกภัย โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ 3 อำเภอ (อ.เมืองเชียงราย แม่สาย ขุนตาล) จ.เชียงราย รวม 3,623 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 18,115,000 บาท


ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น ศปช.ได้มีดำเนินการระดมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัดและส่วนกลางติดตามรับมือสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมแจ้งเตือนและให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที โดยในส่วนของกระทรวงดีอี ได้มอบหมายให้กรมอุตุนิยมวิทยาเฝ้าติดตามสภาพอากาศ พร้อมแจ้งเตือนประชาชนทันที หากมีแนวโน้นมการเกิดสถานการณ์ที่รุนแรง 


“ขอแสดงความเสียใจกับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น และขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตินี้ไปให้ได้ โดยรัฐบาลได้เร่งรัดการฟื้นฟูและเยียวยาประชาชนผู้ประสบอุทกภัยอย่างเต็มกำลัง พร้อมกับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมกับให้เฝ้าระวังสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น และแจ้งเตือนให้ประชาชนได้รับทราบในทันที เพื่อลดการสูญเสียให้ได้มากที่สุด” นายประเสริฐ กล่าว


นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาพบการเผยแพร่ข่าวปลอม เกี่ยวกับอุทกภัย และน้ำป่าไหลหลากอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการอ้างถึงข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ หรือเผยแพร่ข้อมูลอ้างถึงสถาการณ์ที่รุนแรง การเกิดพายุลูกใหม่ ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีความผิดทางกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.คอมฯ จึงขอแจ้งเตือนประชาชน อย่าได้หลงเชื่อหรือแชร์ข่าวปลอมที่ไม่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจน โดยควรตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ โดยสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานรัฐ อย่างไรก็ตาม กระทรวงดีอี โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม Line OA ชื่อว่า 'HelpT (น้ำท่วม ช่วยด้วย)' เป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างประชาชนกับหน่วยงานท้องถิ่นของจังหวัด และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ฯลฯ ในพื้นที่ 49 จังหวัด โดยประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย สามารถแจ้งเหตุฉุกเฉินและขอความช่วยเหลือ อาทิ การขออพยพ การขออาหาร อุปกรณ์ส่องสว่าง กระสอบทราย ฯลฯ ซึ่งคำขอจากประชาชนจะถูกส่งไปยังหน่วยงานท้องถิ่นด้วยขั้นตอนง่ายๆ โดยการแอด LINE OA: @HelpT ส่งรูป ระบุพิกัด สามารถติดตามสถานะและผลการดำเนินการได้ นอกจากนี้ HelpT ยังมีการรวบรวมเบอร์โทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉินของหน่วยงานต่างๆ และให้ข้อมูลพยากรณ์ปริมาณฝนที่จะเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่จากแพลตฟอร์ม FAHFON (ฟ้าฝน)


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อุทกภัยภาคเหนือ #น้ำท่วม67








“ณัฐพงษ์” คิกออฟแคมเปญ “เท้งทั่วไทย” กลับบ้านเกิดบางแคพบประชาชน เตรียมเดินสายทั่วประเทศรวบรวมปัญหา-สร้างนโยบายที่ดีที่สุดให้กับประชาชนในการเลือกตั้งปี 70 ชี้ผลนิด้าโพลรับรู้ไว้เพื่อปรับปรุงการทำงาน ขอเดินหน้าทำงานเต็มที่ต่อ

 


“ณัฐพงษ์” คิกออฟแคมเปญ “เท้งทั่วไทย” กลับบ้านเกิดบางแคพบประชาชน เตรียมเดินสายทั่วประเทศรวบรวมปัญหา-สร้างนโยบายที่ดีที่สุดให้กับประชาชนในการเลือกตั้งปี 70 ชี้ผลนิด้าโพลรับรู้ไว้เพื่อปรับปรุงการทำงาน ขอเดินหน้าทำงานเต็มที่ต่อ


วันที่ 29 กันยายน 2567 ที่เขตบางแค กรุงเทพมหานคร ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย ทิสรัตน์ เลาหพล สส.กรุงเทพฯ เขต 29 (หนองแขม-บางแค), ธัญธร ธนินวัฒนาธร สส.กรุงเทพฯ เขต 30 (บางแค-ภาษีเจริญ), และอำนาจ ปานเผือก สก.เขตบางแค พรรคประชาชน ร่วมเดินสายพบปะประชาชนในพื้นที่เขตบางแค โดยเริ่มการลงพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ที่ตลาดหมู่บ้านเศรษฐกิจ และหมู่บ้านสุขสันต์ 6 โดยตลอดการเดินมีประชาชนมาร่วมพบปะพูดคุย ให้กำลังใจ และแลกเปลี่ยนปัญหาในพื้นที่อย่างไม่ขาดสาย


หลังจากนั้นได้ร่วมกันพบปะประชาชนภายในชุมชนรวมใจริมคลอง ซ.เพชรเกษม 62/1 พร้อมเปิดวงพูดคุยรับฟังปัญหาและความต้องการของชาวชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่ภายในชุมชน ที่ สก.และ สส.พรรคประชาชนได้ร่วมติดตามขับเคลื่อนมาตลอด


ในช่วงหนึ่งระหว่างการลงพื้นที่ ณัฐพงษ์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า นี่เป็นโอกาสแรกหลังการยุบพรรคก้าวไกลที่ตนได้กลับมาลงพื้นที่บางแคอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มาในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ถือเป็นการคิกออฟภายใต้แคมเปญ “เท้งทั่วไทย” ที่หลังจากนี้ตนจะเริ่มเดินทางไปพบปะประชาชนทั่วประเทศ เพื่อเก็บเกี่ยวปัญหาและสอบถามสารทุกข์สุขดิบของประชาชนทั่วประเทศ 


บางแคเป็นพื้นที่ที่ทำให้ตนได้เข้าสู่เส้นทางการเมืองมาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ปี 2562 ต่อมาชาวบางแคก็ได้ให้ความไว้วางใจกับพรรคก้าวไกลจนได้ สก. และยังให้ความไว้วางใจกับผู้ที่ลงสมัคร สส.แทนตนด้วย วันนี้ตนจึงเริ่มต้นการเดินทางที่นี่ โดยเมื่อเช้าได้ไปเยี่ยมพี่น้องประชาชนในหลายจุด ประชาชนสะท้อนว่าผู้แทนจากทั้งอดีตพรรคอนาคตใหม่ อดีตพรรคก้าวไกล และพรรคประชาชนสร้างผลงานเป็นรูปธรรมและแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ มีการฝากปัญหาหลายเรื่องที่ยังเหลืออยู่ ซึ่งทางผู้แทนพรรคประชาชนจะร่วมผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาต่อไป ตามความตั้งใจของตนและพรรคประชาชนที่จะเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ โดยไม่สนว่าเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า แม้ในฐานะพรรคการเมือง พรรคประชาชนต้องพูดนโยบายในระดับประเทศ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันสำหรับตนคือการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ ที่มักติดเงื่อนไขกฎระเบียบหรืองบประมาณ ซึ่งการแก้ปัญหาของเราจะเป็นส่วนสำคัญในการทำให้ประชาชนเห็นว่าการเมืองที่ดีสามารถทำให้ชีวิตประชาชนดีขึ้นได้จริงๆ นี่คือบทบาทของเราในฐานะฝ่ายค้านเชิงรุก เพื่อส่งมอบนโยบายที่เป็นประโยชน์ให้กับประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อเป็นรัฐบาลที่ดีที่สุดให้กับประชาชน


หลังจากนั้น ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงผลการสำรวจความนิยมทางการเมืองในไตรมาสที่ 3/2567 ของนิด้าโพล ที่ระบุว่าพรรคประชาชนได้ความนิยมมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนณัฐพงษ์ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้รับความนิยมมาเป็นอันดับที่สาม โดยณัฐพงษ์ระบุว่า จากบริบททางการเมืองในแต่ละช่วงเวลา ทำให้ผลโพลมีทั้งขึ้นและลงเป็นเรื่องปกติ ผลโพลสำหรับตนเป็นเรื่องที่รับรู้เพื่อนำมาปรับปรุงการทำงาน เพราะเราเชื่อว่าวิธีการเดียวที่จะทำให้คะแนนความนิยมมีความมั่นคงยิ่งขึ้นได้จนถึงการเลือกตั้งปี 2570 ก็คือการเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ หน้าที่ของเราต่อจากนี้คือการเข้าหาประชาชนและเดินหน้าทำงานในพื้นที่ต่อไป ซึ่งตนก็พร้อมที่จะเดินหน้าพิสูจน์ผ่านการทำงาน และครั้งหน้าเชื่อว่าพรรคประชาชนจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากขึัน


จากนั้น ผู้สื่อข่าวได้สอบถามความเป็นไปได้ที่ในสัปดาห์หน้าจะมีการโปรดเกล้าฯ ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ณัฐพงษ์จะมีแนวทางในการทำงานอย่างไรต่อไป โดยณัฐพงษ์กล่าวว่า สำหรับตนและพรรคประชาชนจะยังคงเดินหน้าทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างแข็งขันเช่นเดิม และจะใช้เวลาส่วนหนึ่งในการลงพื้นที่พบประชาชนทั่วประเทศ รวมทั้งการใช้กลไกฝ่ายค้านพบประชาชนเพื่อสัญจรไปตามภูมิภาคต่างๆ โดยจะยังคงไม่ทิ้งงานในสภาฯ ทั้งการอภิปรายญัตติและร่างกฎหมาย รวมถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งที่ผ่านมาทางพรรคประชาชนได้รวบรวมข้อมูลไว้หลายด้านแล้ว แม้จะยังเปิดเผยไม่ได้ แต่คาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการยื่นญัตติภายในไตรมาสแรกของปี 2568 รวมถึงอาจจะมีการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติก่อนหน้านั้นด้วย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เท้งณัฐพงษ์ #พรรคประชาชน #เท้งทั่วไทย




'ภท.' จ่อรอด 'เลขา กกต.' ชี้ คดี 'ศักดิ์สยาม' ไม่เป็นเหตุยุบพรรค คาดไม่เกินเดือนต.ค.รู้ผล เผยสั่งยุติยุบ 'พปชร.' ปมเงินบริจาคตู้ห่าวแล้ว เหตุพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 


'ภท.' จ่อรอด 'เลขา กกต.' ชี้ คดี 'ศักดิ์สยาม' ไม่เป็นเหตุยุบพรรค คาดไม่เกินเดือนต.ค.รู้ผล เผยสั่งยุติยุบ 'พปชร.' ปมเงินบริจาคตู้ห่าวแล้ว เหตุพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย 


วันที่ 29 กันยายน 2567 นายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต.กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องยุบพรรคภูมิใจไทยจากเหตุรับเงินบริจาคจากห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ถือหุ้นอยู่ว่า ประเด็นนี้ทำให้ตนเองถูกด่าฟรีมาปีกว่า ๆ เพียงเพราะว่าตนเองเป็นคนบุรีรัมย์ จนมีคนไปฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตว่าเหตุใดกกต.ถึงมีคำสั่งยื่นศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกลแต่กลับไม่ยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย


จึงขอชี้แจงว่า ด้วยความที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของนายทะเบียนพรรคการเมืองไปตรวจสอบ และตนได้มีคำสั่งขยายระยะเวลาการทำงาน เพราะขณะกรรมการอยากจะได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ ทั้งที่จริง ๆ แล้วอยากจะให้วินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือน แต่ขยายเวลาออกไปจนคนอื่นรู้สึกว่า เพราะเลขาธิการกกต. เป็นคนบุรีรัมย์ ซึ่งสัมพันธ์กันอย่างไรตนก็ไม่เข้าใจ ทำให้ตนเองกลายเป็นจำเลยของสังคม ทั้ง ๆ ที่ตนไม่เคยเข้าไปยุ่ง


เลขากกต. กล่าวต่อว่า ถ้าถามข้อกฎหมายจริง ๆ อย่างกรณีของพรรคก้าวไกลมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นแนวเอาไว้แล้ว ซึ่งก็ผูกพันกับกกตทำให้ต้องใช้อำนาจในการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย แต่คดีของพรรคภูมิใจไทยนั้นเป็นการร้องว่าผิดหรือไม่ ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีของนายศักดิ์สยามไม่ได้เป็นความผิดแห่งการยุบพรรคการเมืองเลย ไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง แต่เราก็พยายามหาว่าสิ่งที่เขามาร้องนั้นเป็นเหตุที่จะโยงไปสู่การยุบพรรคการเมืองได้หรือไม่ เพราะสิ่งที่นายศักดิ์สยามทำผิดตามคำ วินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นไม่ใช่เหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง


"ผมไม่เคยไปสอบถามหรือแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง เป็นเรื่องของอำนาจใครอำนาจมัน แต่วันนี้ฟังได้ว่าเขาเสนอเรื่องมาแล้ว ตนก็จะได้สบายใจว่ามันจะได้จบเสียที ผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องรอดูว่าที่เสนอมานั้นเป็นอย่างไร บางทีสังคมเข้าใจไปว่าเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ต้องยุบพรรคเหมือนกัน แต่ความรู้สึกของคนไปไกลแล้วว่าลักษณะเหมือนกัน แต่เรื่องของพรรคการเมืองหนึ่งถึงทำได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่เรื่องของอีกพรรคการเมืองหนึ่งกลับทำได้อย่างล่าช้า แต่จริง ๆ ต้องดูข้อกฎหมายดูที่คำร้อง "นายแสวง กล่าว


นายแสวง กล่าวต่อว่า หลังจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสนอเรื่องเข้ามาแล้ว ตนก็จะส่งเรื่องให้กับกรรมการที่ปรึกษาของนายทะเบียนพรรคการเมืองซึ่งมีนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ เป็นประธาน ได้ให้ความเห็นก่อน ก่อนที่จะเสนอให้นายทะเบียนฯ พิจารณาให้ความเห็นว่าผิดกฎหมายต้องมีการยุบพรรคหรือไม่ ถ้านายทะเบียนเห็นว่าไม่ผิดก็จบเลย แต่ถ้าเห็นว่าผิดก็เสนอต่อกกต. คาดว่าไม่เกินเดือนต.ค.ก็จบแล้ว


เลขาธิการ กกต. กล่าวอีกว่า เรื่องของพรรคภูมิใจไทยก็เหมือนกับเรื่องร้องเรียนให้ยุคพรรคพลังประชารัฐ เนื่อจากกรณีการรับเงินบริจาคไม่ชอบด้วยกฎหมายจากนายตู้ห่าว ซึ่งการพิสูจน์ว่า เงินที่เขานำมาบริจาคนั้นเป็นเงินสีเทาได้มาจากธุรกิจผิดกฎหมายเช่นเปิดบ่อนการพนัน ค้ายาเสพติด ซึ่งการจะดูว่าเงินนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ถ้ามีหน่วยงาน ที่รับผิดชอบไปบอกว่าเงินนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และถูกยึดก็จะชัดเจนว่าเป็นที่มาของเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เงินที่ไม่ชอบตามกฎหมายอื่น เช่น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หรือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) ทางกกต.ไม่มีอำนาจที่จะไปวินิจฉัย ต้องเป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมายนั้นเป็นผู้วินิจฉัยเสียก่อน ซึ่งถ้าเงินที่ไม่ชอบตามกฎหมายนั้นเอามาบริจาค นั่นจะทำให้เขาถูกยุบพรรค แต่ถ้าเป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายพรรคการเมืองโดยตรง ก็อย่างเช่นกรณี เงินกู้ ที่เป็นเหตุยุบพรรคอนาคตใหม่ กกต.มีอำนาจวินิจฉัยด้วยตัวเอง


"กรณีเงินบริจาคของนายตู้ห่าว ไม่มีหน่วยงานไหนวินิจฉัยว่าเงินนั้น ได้จากอะไร เมื่อมันเป็นไปตามกฎหมายอื่นแล้วไม่มีหน่วยงานไหนมาวินิจฉัย และเราก็ไม่มีอำนาจที่จะไปวินิจฉัยตามกฎหมายอื่น กกต.ก็ต้องยุติเรื่องไป พอมาถึงเงินของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีบริษัทหนึ่งเอาเงินมาบริจาค เงินนั้นคือเงินหลวงที่บริษัทประมูลงานได้ ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาในคดีหนึ่งที่มีบริษัทเขาไปฮั้วประมูล และผู้มีอำนาจไม่ให้เงินค่างานเขา ศาลบอกว่าต้องแยกให้ถูกเขาทำงานก็ต้องได้ค่างาน ฮั้วประมูลไม่เกี่ยวกัน นั่นหมายความว่า เงินค่างานเป็นเงินที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเขาทำงานก็ต้องได้เงิน ส่วนเรื่องหัวประมูลก็ต้องไปดำเนินคดีอีกคดีหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ซึ่งถ้าคิดดี ๆ จะใกล้เคียงขึ้นมาทันทีว่าเงินที่พรรคการเมืองได้รับจาก บริษัทที่ไปทำงานให้หลวง นั่นคือเงินค่างานที่เขาได้รับจากการประมูลงานจากหลวง มีระบบบัญชีถูกต้อง เงินมันถึงเข้ามาอยู่ในบริษัทได้ ถ้าเป็นเงินฮั้ว มันเข้ามาอยู่ในบริษัทไม่ได้ ไม่รู้เงินนั้นจะไปอยู่ตรงไหน ดังนั้นถ้าตามกฎหมายแล้วมีความซับซ้อน คนจะคิดว่าฮั้วประมูลแล้วจะต้องยุบพรรค แล้วฮั้วจริงหรือเปล่าก็ยังไม่มีใครรู้ในตอนนี้ หรือมีใครตัดสินอย่างไร แต่สุดท้ายเขาก็คงเสนอขึ้นมาให้นายทะเบียนพิจารณา" นายแสวงกล่าว 


เมื่อถามถึงกรณี ร้องเรียนการยุบพรรคพลังประชารัฐจากกรณีเงินของนายตู้ห่าวแสดงว่า นายทะเบียนมีความเห็นยุติเรื่องแล้วใช่หรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า ยุติไปแล้วเพราะเงินนั้นเป็นเงินตามกฎหมายอื่น ซึ่งไม่มีใครมาวินิจฉัยว่ามันเป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเราก็จะเอามาเป็นเหตุให้ยุบพรรคไม่ได้ มันเหมือนกับว่าเราพิสูจน์และฟังเขาจะจริงมาได้เท่านี้ เราไม่มีหน่วยงานไหนมาพิสูจน์และยืนยันได้ว่าเงินที่นายตู้ห่าวเอามาบริจาคนั้นมีที่มาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กกต #ภูมิใจไทย #พลังประชารัฐ #คดียุบพรรค

“นิด้าโพล” เผยผลสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง “แพทองธาร” ครองอันดับ 1 ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี

 


“นิด้าโพล” เผยผลสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง “แพทองธาร” ครองอันดับ 1 ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี


วันนี้ (29 กันยายน 2567) นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 3/2567” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 16-23 กันยายน 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับคะแนนนิยมทางการเมือง เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0


ถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า


ร้อยละ 31.35 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) เพราะ มีความเป็นผู้นำ และมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

ร้อยละ 23.50 ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ 

ร้อยละ 22.90 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (พรรคประชาชน) เพราะ เป็นคนรุ่นใหม่ มีแนวคิด และทัศนคติที่ดี

ร้อยละ 8.65 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) เพราะ เป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือ และมีประสบการณ์ด้านการบริหาร

ร้อยละ 4.80 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) เพราะ มีความสามารถและประสบการณ์ในการบริหาร รวมถึงมีจุดยืนในการต่อต้านอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบ

ร้อยละ 4.00 นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะ มีความเป็นกันเอง ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์สุจริต และมีจุดยืนในการทำงานที่ชัดเจน

ร้อยละ 1.15 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) เพราะมีความเด็ดขาด และมีประสบการณ์ทางการเมือง

2.80 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน (พรรคประชาธิปัตย์) นายชวน หลีกภัย (พรรคประชาธิปัตย์) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายวราวุธ ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง (พรรคประชาชาติ) พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (พรรคเสรีรวมไทย) นายกรณ์ จาติกวณิช และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ

ร้อยละ 0.85 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า


ร้อยละ 34.25 พรรคประชาชน

ร้อยละ 27.15 พรรคเพื่อไทย

ร้อยละ 15.10 ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้

ร้อยละ 9.95 พรรครวมไทยสร้างชาติ

ร้อยละ 4.40 พรรคประชาธิปัตย์

ร้อยละ 3.55 พรรคภูมิใจไทย

ร้อยละ 2.05 พรรคพลังประชารัฐ

ร้อยละ 1.70 พรรคไทยสร้างไทย

ร้อยละ 1.10 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อไทยรวมพลัง พรรคเสรีรวมไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา

ร้อยละ 0.75 ไม่ตอบ/ไม่สนใจ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิด้าโพล #แพทองธารชินวัตร


วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2567

ซ่อน•หา : รัฐไทยซ่อนอะไรไว้บ้าง “ยุกติ-เบญจา-ประกายดาว” ล้อมวงเสวนา มายด์-ภัสราวลี ชวนมองย้อนสิ่งที่หล่นหายไประหว่างทาง ความหวังอิสรภาพนักโทษการเมือง

 


ซ่อน•หา : รัฐไทยซ่อนอะไรไว้บ้าง “ยุกติ-เบญจา-ประกายดาว” ล้อมวงเสวนา มายด์-ภัสราวลี ชวนมองย้อนสิ่งที่หล่นหายไประหว่างทาง ความหวังอิสรภาพนักโทษการเมือง


เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2567 เวลา 18.30 น. ที่ KINJAI CONTEMPORARY เขตบางพลัด กทม. มีการจัดกิจกรรมวงเสวนาในวันเปิดนิทรรศการ ‘ซ่อน(ไม่)หา(ย) (Presumption of Innocence)’ ซึ่งเป็นวงเสวนาแลกเปลี่ยนเพื่อมองย้อนถึงสิ่งที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ข้อเท็จจริงที่ถูกทำให้พูดถึงไม่ได้ และทำไมเรายังต้องพูดเพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านั้นหายไป โดยภาพรวมวงเสวนามีการพูดคุยในประเด็นการเลือกเล่าและไม่เล่าในประวัติศาสตร์ ความฝัน ความหวัง ความสัมพันธ์ หรืออื่นๆ ที่หล่นหายไป จนกลายมาเป็นแรงผลักดัน และหนทางสู่สังคมที่ทุกคนเห็นต่างสามารถอยู่ร่วมกันได้ไม่ต้องมี ‘นักโทษทางความคิด’ และประเด็นอื่นๆ


โดยมีผู้ร่วมเสวนา นางสาวเบญจา แสงจันทร์ อดีต สส.พรรคก้าวไกล, รศ.ดร. ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นางสาวประกายดาว พฤกษาเกษมสุข บุตรสาวนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และดำเนินรายการโดย นางสาวภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล


ด้านนางสาวเบญจา แสงจันทร์ อดีต สส.พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ดำเนินคดีทางกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมนั้นตนขอย้อนไปในการเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีการดำเนินคดีตามกฎหมายโดยใช้กระบวรการยุติธรรมเชิงนโยบาย ซึ่งประเด็นนี้ตนอยากพูดถึง คือมีการดำเนินคดีมาตรา 112 แต่เราหลงลืมการทำความจริงให้ปรากฏ และการคืนความยุติธรรมให้กับคนที่ยังไม่มีชีวิตอยู่ อาจจะทำให้สังคมไทยไม่สามารถหาทองออกจากความขัดแย้งนี้ได้ ซึ่งสังคมต้องถอดบทเรียนเรื่องนี้จริง ๆ 


ขณะที่ นางสาวประกายดาว พฤกษาเกษมสุข บุตรสาวนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข กล่าวว่า ในสังคมไทยเท่าที่ตนเองได้ประสบการณ์มีผลกระทบต่อในเชิงลบต่อชีวิตของคนที่ใช้สิทธิเสรีภาพดำเนินคดี เช่นการถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จำคุก หรือ อุ้มหาย ซึ่งระหว่างทางมีการถูกติดตามคุกคามหรือการทำร้าย ซึ่งมาตรการเหล่านี้ทำให้การเล่าเรื่องไม่เปิดกว้างมากพอ สภาพสังคมปัจจุบันนี้มีความกลัวอยู่ส่วนหนึ่ง โดยช่วงที่ผ่านมาถือว่ามีพัฒนาการ สมัยม็อบคณะราษฎร ปี 2563 ที่มีการดันเพดาน การเล่าเรื่อง แต่สุดท้ายก็วนกลับมาในวงจรเดิม ผู้คนติดคุกกว่า 53 คน และมีผู้ที่ลี้ภัยอีกชุดหนึ่ง ตนในฐานะที่ทำงานในด้าน ซึ่งสิทธิมนุษนชนก็ทำงานยาก โดยมีการเซนเซอร์หรือปิดปากประชาชนอยู่


ด้าน อ.ยุกติ มุกดาวิจิตร กล่าวว่า คือตนคิดว่ามันมีเรื่องใหญ่อยู่ประมาณสองถึงสามเรื่อง หนึ่งคือเราสามารถที่จะพูดอะไรได้หรือพูดอะไรไม่ได้ในแง่หนึ่งส่วนหนึ่งที่ ตนได้เห็นคือเรามักจะพูดอะไรกับผู้มีอำนาจไม่ค่อยได้ หรือมีเพดานของมันอยู่ ในประเทศไทยเพดานดังกล่าวที่พูดถึงไม่ได้สม่ำเสมอ บางครั้งบางเรื่องพูดได้ในระยะเวลาหนึ่งหรือพูดในแบบหนึ่งพูดได้ แต่บางช่วงระยะเวลาก็พูดไม่ได้และมีหลายเรื่องมากขึ้นที่พูดไม่ได้ ยกตัวอย่างในเร็วเร็วนี้เช่นงานวิชาการ ที่ถูกวางเพดานให้ต่ำลง ซึ่งเพดานที่ถูกทำให้ต่ำลงอย่างกฎหมายพระราชบัญญัติส่งเสริมการวิจัย ซึ่งพระราชบัญญัตินี้จะต้องเซ็ตเพดานให้มีระเบียบการควบคุมจริยธรรมการวิจัยที่จะไม่ต้องไปมีผลกระทบต่อทำให้เกิดไม่ดีไม่งามต่อสิ่งที่วัฒนธรรมที่ดีงามหรือศาสนาสถาบันหรือประเพณีอันดีดีงาม ซึ่งมีทั้งเป็นเพดานที่ต่ำมาก ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนประเทศไทย พวกตนเป็นนักวิชาการก็ต้องสู้กันในเรื่องนี้ให้พระราชบัญญัตินี้ต้องแก้ไข 


“ช่วงใดที่มีการตั้งคำถามต่อพระมหากษัตริย์มากขึ้น จะทำให้มันกลับจะทำให้มีเพดานใช้มาตรา 112 รุนแรงรุนแรงหนักหน่วงมากขึ้นและถือว่าเป็นการรีเซ็ตเพดานการพูดถึงสถาบันที่ต่ำลงเรื่อยเรื่อย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่กระทบต่อผู้มีอำนาจเช่นเรื่องทหารด้วย หลายเรื่องที่สังคมไทยพยายามที่จะแซเพดานการพูดถึงหรือเสรีภาพในการแสดงออกให้ต่ำลงเรื่อยเรื่อยแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลาด้วย” อ.ยุกติ มุกดาวิจิตร กล่าวทิ้งท้าย


รับชมวงสนทนาทั้งหมดได้ที่ https://www.facebook.com/share/v/GVWhHtpWKjVpHCqi/?mibextid=oFDknk


https://www.youtube.com/live/qUrgWp6QE9Y?si=EjJukK9LqA-QfnVF



สำหรับนิทรรศการ ซ่อน(ไม่)หา(ย) Presumption of Innocence at KINJAI CONTEMPORARY จะจัดต่อเนื่อง ถึงวันที่ 27 ต.ค. 67 ( 28 กันยายน - 27 ตุลาคม 2567 )


เวลา 12.00 - 20.00 น. ทุกวันอังคาร - วันอาทิตย์ (ปิดทำการวันจันทร์)


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ซ่อนไม่หาย




จม.จากเรือนจำ “ขนุน-สิรภพ”เขียน “จากบัณฑิตจบใหม่ สู่...” สิ่งเดียวที่เฝ้าฝันคือสิทธิการประกันตัว มีชีวิตที่ได้ออกไปตามความฝัน


จม.จากเรือนจำ “ขนุน-สิรภพ”เขียน “จากบัณฑิตจบใหม่ สู่...” สิ่งเดียวที่เฝ้าฝันคือสิทธิการประกันตัว มีชีวิตที่ได้ออกไปตามความฝัน


วันนี้ (28 ก.ย. 67) เฟสบุ๊ค panusaya sithijirawattanakul โพสข้อความจดหมายจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ 'ขนุน สิรภพ' เขียน โดยมีใจความระบุว่า


“จากบัณฑิตจบใหม่ สู่...”


สวัสดีครับแม่ เอาเข้าจริงจะบอกจบใหม่ก็ไม่ได้ขนาดนั้น เพราะก็ผ่านมาเกือบปี หลังจบครึ่งปีแรกหนุนเรียน ป.โท มธ. และอีกครึ่งปี หนุนถูกขัง ณ มหาลัยพิเศษกรุงเทพ ไม่ใช่ที่ที่ผู้ทรงคุณวุฒิ อาจารย์ แต่หนุนได้ความรู้จากประสบการณ์ในทุกวันจากที่แห่งนี้ แม้ในบางวันจะเหนื่อยยาก ท้าทาย แต่หนุนก็ยังอดทนจนถึงทุกวันนี้ 


หากพูดในแต่ละแดนมีสังคม วิถีชีวิตที่แตกต่างกัน การที่หนุนได้เดินทาง พบเจอสังคมอย่างว่า ทำให้หนุนได้เจอผู้คนหลายประเภท ซึ่งโลกภายนอกหนุนจะไม่มีวันพบพวกเค้าเหล่านั้น หากหนุนได้ อิสรภาพ คงมีเรื่องราวมากมายให้พูดคุยอย่างแน่นอน 


ในวันนี้หนุนอยากจบการศึกษาจากที่นี่แล้ว หนุนอยากกลับบ้านไปเรียนต่อ ป.โท อยากออกไปทำตามความฝัน อนาคตของหนุนไม่ควรถูกแช่แข็งเช่นทุกวัน 6 เดือนที่ผ่านมามันนานมากสำหรับหนุน


สุดท้ายสิ่งเดียวที่หนุนเฝ้าฝันถึงคือ สิทธิการประกันตัว ผมคงขอให้คำอธิฐานผมเป็นจริงในเร็ววัน ศุกร์ที่ผ่านมาหนุนยื่นประกันตัวไป ขอให้หนุนได้ออกไปเจอป๊าแม่ไวๆ นะครับ


หนุนอยากกลับไปเรียนหนังสือ อ่านหนังสือ 

หนุนอยากกลับไปมีชีวิต มีความฝัน มีความสุข


แด่ความรู้ในทุกแห่งหน

สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ

ณ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ


สำหรับ สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ หรือขนุน เคยจัดกิจกรรมกลุ่ม ‘มศว คนรุ่นเปลี่ยน’ ปัจจุบันอายุ 23 ปี จบการศึกษาจาก ภาควิชารัฐศาสตร์สาขาการเมืองการปกครอง คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ตั้งแต่ 25 มีนาคม 2567 ในคดีมาตรา 112 ซึ่ง ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก 2 ปี จากกรณีปราศรัยในการชุมนุม #18พฤศจิกาไปราษฎรประสงค์ เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2563


การไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว ส่งผลให้ 'ขนุน สิรภพ' ขาดโอกาสในการศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ที่คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #จดหมายนักโทษการเมือง #ขนุนสิรภพ #ปล่อยเพื่อนเรา #ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
 

ทีมพรรคประชาชนลงพื้นที่เชียงใหม่ ลุยพบอาสาสมัคร-ราชการ-ท้องถิ่น-พี่น้องประชาชน พร้อมเสนอแผนแก้ปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว

 


ทีมพรรคประชาชนลงพื้นที่เชียงใหม่ ลุยพบอาสาสมัคร-ราชการ-ท้องถิ่น-พี่น้องประชาชน พร้อมเสนอแผนแก้ปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว


วันที่ 27 กันยายน 2567 พรรคประชาชน นำโดย เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการนโยบายเพื่ออนาคต (Think Forward Center) พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ ร่วมกับ สส.เชียงใหม่ของพรรค ลงพื้นที่ อ.สารภี อ.สันกำแพง และ อ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ พร้อมพูดคุยกับอาสาสมัคร หน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และพี่น้องประชาชน เพื่อเดินหน้าแก้ปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว


โดยในช่วงเช้า ทีมพรรคประชาชนเดินทางไปพบปะเพื่อเรียนรู้เข้าใจการทำงานของฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 3 กรมชลประทาน อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ที่มีการดูแลการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำแม่กวง ซึ่งมีลำน้ำสาขาตามธรรมชาติทั้งแม่กวง แม่ออน แม่คาว ฯลฯ ทำให้ทีมพรรคประชาชนเข้าใจระบบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และข้อจำกัดในปัจจุบันได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น


ส่วนในช่วงบ่าย ทีมพรรคประชาชนเดินทางไปพูดคุยกับเทศบาลตำบลไชยสถาน อ.สารภีจ.เชียงใหม่ พบปัญหาการจัดการน้ำในคลองและลำน้ำย่อยต่างๆ ในพื้นที่ ที่ไม่มีการสำรวจ รวมข้อมูล และประสานกันอย่างไร้รอยต่อ ทั้งการสูบน้ำจากพื้นที่เขตเศรษฐกิจระบายมายังตำบลไชยสถาน และไม่สามารถระบายไปยังท้ายน้ำได้ ทำให้ประสบปัญหาการจัดการน้ำในท้องถิ่นต่างๆ เกิดเป็นปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ชุมชนข้างเคียงติดต่อกันไปเรื่อยๆ เป็นระยะเวลานานกว่าพื้นที่อื่นๆ


ขณะที่ตลอดทั้งวัน ณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล สส.เชียงใหม่ เขต 3 เดินทางไปดูปัญหาน้ำท่วมที่ชุมชนสันป่าค่า อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ พบปัญหาน้ำท่วมขังในชุมชน ไม่สามารถระบายออกไปได้ ทั้งที่อีกฝั่งถนนมีระดับน้ำต่ำกว่ามาก จึงประสานกับกรมทางหลวง กรมชลประทาน และเทศบาลเมืองต้นเปา นำเครื่องสูบน้ำมาติดตั้งและสูบออกเพื่อช่วยระบายน้ำ โดยผู้แทนราษฎรได้รับคำขอบคุณและคำชื่นชมที่ช่วยเป็นปากเสียงแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ทันที


นอกจากนี้ ทีมพรรคประชาชนยังได้เดินทางไปสังเกตการณ์และสนับสนุนการทำงานอาสาสมัครภาคประชาชนในการกระจายอาหารปรุงสุกพร้อมทานให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ ต.ไชยสถาน อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ซึ่งพบว่ามีประชาชนที่อยู่ด้านในและยากต่อการเข้าถึงยังคงรอรับความช่วยเหลืออีกมาก


ต่อมาในช่วงเย็น ที่สถานีวัดระดับน้ำ P1 ของกรมชลประทาน สะพานนวรัฐ จ.เชียงใหม่ เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการ Think Forward Center พูดคุยกับพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ ถึงแนวทางการทำงานของ อบจ. ที่จะสามารถทำได้เพื่อเตรียมรับมือและอุทกภัยในอนาคต จนสรุปออกมาได้เป็นแผนการจัดการภัยพิบัติของจังหวัดเชียงใหม่ หรือ “CNX Disaster Management” โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ได้แก่


ประเด็นที่ 1: การแก้ปัญหาด้วยนวัตกรรม (Disaster Innovation)

- Sensor Network: วัดระดับน้ำ ส่งข้อมูลไปยังระบบเตือนภัยแบบเรียลไทม์ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำ 

- Data Collective: ดึงข้อมูลมาเป็นศูนย์จัดการข้อมูลภัยพิบัติระดับจังหวัด ทั้งมวลน้ำ ดินสไลด์ จุดความร้อน ฯลฯ และมีระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพ

- War Room: ยกระดับการทำงานของ War Room ที่มีเพื่อสื่อสาร รายงานภัยพิบัติต่างๆ ของจังหวัดตลอดทั้งปี ทั้งรูปแบบ Online, On-Air, และ On-Ground


ประเด็นที่ 2: สร้างการตระหนักรู้ พร้อมกับส่งเสริมองค์ความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติในอนาคต

- การซ้อมแผนการรับมือให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน เพื่อให้มีความพร้อมในการเผชิญเหตุและช่วยเหลือประชาชน

- สร้างการตระหนักรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป และการปรับตัวรับมือโลกร้อน-โลกเดือด รวมถึงการออกแบบที่ใช้วิถีธรรมชาติเป็นฐาน (Nature-based Solutions)


ประเด็นที่ 3: แก้ปัญหาเชิงกายภาพ

- ขุดลอกคูคลอง เชื่อมต่อและขยายพื้นที่ระบายน้ำและพื้นที่หน่วงน้ำ โดยเฉพาะในส่วนถนนเส้นหลัก เพื่อลดโอกาสเกิดน้ำท่วมขังเหมือนปัญหาที่พรรคประชาชนพบในการลงพื้นที่วันนี้

- การทำ CBFM (Community-based Forest Management) หรือนโยบายป่าชุมชน สนับสนุนให้ชุมชนดูแลและจัดการพื้นที่ป่าด้วยตัวเอง

- สนับสนุนระบบการจัดการน้ำในระดับชุมชน/ท้องถิ่น ที่เชื่อมต่อกับระบบน้ำภาพใหญ่ระดับลุ่มน้ำต่างๆ และระดับจังหวัดในภาพรวม


เดชรัตและพันธุ์อาจกล่าวสรุปว่า การทำงานทั้ง 3 ประเด็นจะทำให้เกิดความเข้มแข็งในการจัดการภัยพิบัติทั้ง 3 ระดับ คือ (1) ระดับจังหวัด หรือการยกระดับเป็นซุปเปอร์ อบจ. (2) ระดับคลัสเตอร์ของอำเภอต่างๆ ที่อยู่ในลุ่มน้ำ/หุบเขาเดียวกัน และ (3) ระดับท้องถิ่นและชุมชน โดยเฉพาะในการช่วยเหลือและเยียวยาประชาชน ไปพร้อมๆ กัน


#UDDnews #UDDnews #พรรคประชาชน #น้ำท่วม67 #น้ำท่วมเชียงใหม่




วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2567

รัฐบาลเดินหน้า “30 บาทรักษาทุกโรค สู่ 30 บาทรักษาทุกที่” นำร่องจาก 4 จ. ขยายสู่ 46 จ. ตั้งเป้าปี 67 ขยายให้ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อคนไทยมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ย้ำกรุงเทพฯ มองหาสัญลักษณ์ 30 บาทรักษาทุกที่ เข้ารับบริการได้ทันที

 


รัฐบาลเดินหน้า “30 บาทรักษาทุกโรค สู่ 30 บาทรักษาทุกที่” นำร่องจาก 4 จ. ขยายสู่ 46 จ. ตั้งเป้าปี 67 ขยายให้ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อคนไทยมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ย้ำกรุงเทพฯ มองหาสัญลักษณ์ 30 บาทรักษาทุกที่ เข้ารับบริการได้ทันที


วันนี้ (27 กันยายน 2567) เวลา 10.00 น. ณ ลานอเนกประสงค์ชั้น 2 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารบี) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย



โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบโล่ตราสัญลักษณ์ 30 บาทรักษาทุกที่ให้กับผู้แทน 7 หน่วยบริการนวัตกรรม ได้แก่ แพทยสภา ทันตแพทยสภา สภาเภสัชกรรม สภาการพยาบาล สภากายสภาพบำบัด สภาเทคนิคการแพทย์ และสภาการแพทย์แผนไทย และกล่าวปาฐกถาหัวข้อ “จาก 30 บาทรักษาทุกโรค สู่ 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า” โดยเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้รับฟังจากบิดา คือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีคนเดินมาหาและถอดเสื้อออก โชว์แผลผ่าตัดหัวใจ ขนาดใหญ่มากตรงหน้าอก ซึ่งการผ่าตัดใหญ่ทั้งหมดนี้จ่ายเงินแค่ 30 บาทเท่านั้น นี่คือเรื่องจริงของนโยบายที่สามารถช่วยชีวิตของผู้คนได้  และถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของนายกรัฐมนตรี


นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ผ่านมา 23 ปี ถึงเวลาแล้วที่จะยกระดับไปอีกขั้น จาก “30 บาทรักษาทุกโรค สู่  30 บาท รักษาทุกที่” ซึ่งตอนนี้ขยายมาถึงกรุงเทพมหานครแล้ว ทุกคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร เมื่อเจ็บป่วยเล็กน้อย หรือ ต้องการฉีดวัคซีน ต่อไปไม่ต้องไปรอคิวที่โรงพยาบาล หรือเสียเงินไปหาหมอที่คลินิคอีก สามารถใช้บริการสถานบริการ หรือคลีนิคที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะทำให้ประหยัดเวลา สะดวกมากขึ้น เช่นเดียวกับพี่น้องประชาชนต่างจังหวัดไม่ต้องไปโรงพยาบาลใหญ่ แต่ไปโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล 7,000 แห่งหรือโรงพยาบาลชุมชนประจำอำเภอกว่า 800 แห่ง ทั่วประเทศ


นายกรัฐมนตรีระบุ ต่อไปนี้ ทุกคนที่ถือสิทธิ์ “30 บาท รักษาทุกที่” ในกรุงเทพมหานคร ถ้าเจ็บป่วยเล็กน้อย สามารถเข้าไปหาหน่วยบริการสาธารณสุขได้เลย เช่น ร้านยาใกล้บ้าน คลินิกเวชกรรมใกล้บ้าน คลินิกทันตกรรมใกล้บ้าน รถโมบายตรวจเลือด ที่บางครั้งจะเข้าไปให้บริการในชุมชน ตู้คิออสในห้างหรือสถานีรถไฟฟ้า ที่สามารถเข้าไปปรึกษาคุณหมอผ่านเทเลเมดิซีนได้เลย และมีหน่วยบริการอื่น ๆ ใกล้บ้านอีกหลายแห่ง แค่มองหาสัญลักษณ์ 30 บาทรักษาทุกที่ก็เข้ารับบริการได้ทันที ไม่เสียค่าใช้จ่าย

 
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความสำเร็จของการดำเนินงานมาตลอด 8 เดือนของ “30 บาทรักษาทุกที่”   โดยผลงาน  คือ  1 ใน 4 ของ ของผู้ป่วยเลือกใช้บริการที่คลินิกเอกชนใกล้บ้านแทนการมาที่โรงพยาบาล ลดความแออัด  ลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาโรงพยาบาล โดยเฉลี่ย 160 บาท/ครั้ง ลดระยะเวลารอในโรงพยาบาลลงถึง 50% จากเฉลี่ย 2 ชั่วโมง เหลือประมาณ 1 ชั่วโมง เท่านั้น  ที่สำคัญพี่น้องประชาชน ผู้รับบริการกว่า 98% พึงพอใจกับนโยบายนี้เป็นอย่างมาก

 
นายกรัฐมนตรีเผย จังหวัดนำร่อง “30 บาทรักษาทุกที่” ได้เริ่มต้นครั้งแรก ในวันที่ 7 มกราคม 2567 โดยเริ่มใน 4 จังหวัดนำร่อง และได้ขยายนโยบายครอบคลุมเพิ่มเติมอีก 41 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 45 จังหวัด และในวันนี้ (27 กันยายน 2567) จะเป็นอีกวันประวัติศาสตร์ด้านสาธารณสุขไทยที่ต้องบันทึกไว้ว่า “เรา” ทุกภาคส่วน รัฐบาล หน่วยงานภาครัฐ สภาวิชาชีพทางการแพทย์ หน่วยบริการภาคเอกชน และประชาชน ได้ร่วมมือกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ทำให้กรุงเทพมหานคร อยู่ในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ สุขภาพดีเริ่มที่ใกล้บ้านได้สำเร็จ ทำให้ 30 บาทรักษาทุกที่ ขยายสู่ 46 จังหวัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 


ดิฉันขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยมั่นใจได้ว่า ภายในปี 2567 นี้ รัฐบาลจะสามารถขยาย “30 บาทรักษาทุกที่” ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทุกตารางนิ้วทั่วประเทศไทย เพื่อทำให้คนไทยเข้าถึงการรักษาพยาบาล ได้ง่ายขึ้นและรวดเร็วขึ้น โดยมีรัฐบาลเป็นผู้ดูแล และขอย้ำอีกครั้ง สำหรับคนกรุงเทพฯ อย่าลืมมองหาสัญลักษณ์ 30 บาทรักษาทุกที่ นั่นคือเป็นหน่วยบริการที่ทุกท่านเข้าไปใช้บริการได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว

 
จากนั้น นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกันทำพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดย นายกรัฐมนตรีได้มอบรถเข็น (Wheel Chair) ให้กับตัวแทนผู้ป่วยจำนวน 7 คน บริเวณด้านหน้านิทรรศการ 30 บาทรักษาทุกที่ และเดินเยี่ยมชมนิทรรศการและนวัตกรรมบริการปฐมภูมิสาธารณสุขวิถีใหม่ ณ บริเวณลานอเนกประสงค์ชั้น 2 ด้วย



#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นายกฯแพทองธาร #30บาทรักษาทุกที่