“ชัยธวัช” ‘92 ปี 24 มิถุนา’
ชี้เอกภาพขบวนการประชาธิปไตย ไม่ใช่ความเห็นที่เหมือนกันทั้งหมด
แต่เป็นเอกภาพระหว่างเป้าหมายและวิธีการไปสู่ประชาธิปไตย ย้ำบทบาทพรรคการเมือง
ต้องสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนต่อระบบรัฐสภา
วันที่
24 มิถุนายน 2567 ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล
ร่วมเสวนาหัวข้อ “เอกภาพขบวนการประชาธิปไตย สู่ ประชาธิปไตยสมบูรณ์ จากบทเรียน 2475
สู่อนาคต” จัดโดยสถาบันปรีดี พนมยงค์ ณ หอประชุมศรีบูรพา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) โดยชัยธวัชร่วมแสดงความเห็นว่า เมื่อพูดถึง 24
มิถุนายน 2475 เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ไปเป็นระบอบที่ในยุคนั้นเรียกว่า “ราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญ”
ซึ่งหลายคนในปัจจุบันอาจไม่คุ้นเคย
เพราะในอดีตประชาธิปไตยใช้สำหรับระบอบการเมืองที่ประมุขของรัฐมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น
“ระบอบราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญ” มีหลักการคืออำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ‘ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง’
ใช้รูปแบบการเมืองประชาธิปไตยระบบรัฐสภา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภารกิจนี้ยังไม่สำเร็จ
บทบาทของคณะราษฎรก็ถูกจำกัดและพ่ายแพ้ในทางการเมือง
โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารครั้งแรกในปี 2489 ที่มีการฉีกรัฐธรรมนูญ
และจบบทบาทของคณะราษฎรตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมา
ตั้งแต่เริ่มแรก
การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองถูกตอบโต้ตลอดเวลา นำโดยกลุ่ม Ultra Royalist หรือที่ปรีดีเรียกว่า “ผู้เกินกว่าราชา”
แต่การโต้การอภิวัฒน์นี้ไม่ได้หมายความว่าจะเปลี่ยนระบอบกลับไปเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบเดิม
เพียงแต่ต้องการแต่งใหม่ให้ “ราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญ”
กลายเป็นระบอบอื่นแบบแอบแฝงซึ่งอาจเรียกได้หลายชื่อ ชื่อล่าสุดที่เริ่มมีการพูดถึงอย่างเป็นระบบคือ
“ราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษาว่าคืออะไร ดังนั้น
ต้องยอมรับว่าภารกิจหรือจุดมุ่งหมายในการอภิวัฒน์ 2475 ยังไม่สำเร็จ
มีการต่อสู้กันไปมาตลอดเวลา
ชัยธวัชกล่าวต่อว่า
ส่วนจะไปถึงประชาธิปไตยสมบูรณ์ได้หรือไม่ ตนมองว่าประชาธิปไตยอาจไม่มีทางสมบูรณ์
จุดเน้นของปรีดีเมื่อกล่าวถึง “ประชาธิปไตยสมบูรณ์”
สาระสำคัญไม่ใช่เฉพาะมิติทางการเมือง แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยในทางเศรษฐกิจด้วย
แต่ไม่ว่าจะความหมายใด ระบอบประชาธิปไตยเป็น “โครงการที่ไม่สิ้นสุด”
กล่าวคือแม้เราผลักดันให้เป็นประชาธิปไตยในแง่หลักการพื้นฐาน
เกิดความเท่าเทียมเป็นธรรมในทางเศรษฐกิจมากขึ้นแล้ว
การต่อสู้ทางประชาธิปไตยก็ยังลึกและซับซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น ประชาธิปไตยทางเพศ
ทางภูมิอากาศ ทางเทคโนโลยี ดังนั้น ชุดคุณค่าเปลี่ยนไปตลอดเวลา
ประชาธิปไตยจะบรรลุเมื่อไรคงตอบไม่ได้ มีแต่เข้าใกล้ไปเรื่อย ๆ
เพียงแต่ตอนนี้ประเทศไทยยังสู้กันในประชาธิปไตยขั้นพื้นฐานอยู่เลย
หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวว่า
เมื่อเห็นหัวข้อเสวนาเรื่องเอกภาพในขบวนการประชาธิปไตย
ดูเหมือนผู้จัดงานให้ความสำคัญหรือมีความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งในขบวนการประชาธิปไตย
ทั้งมิติพรรคการเมือง นักกิจกรรม ปัญญาชน รวมถึงประชาชน
สำหรับตนเห็นว่าเอกภาพมีความสำคัญ ทำให้การขับเคลื่อนมีพลังมากขึ้น
แต่จากประสบการณ์ซึ่งตนอาจมีน้อยที่สุดบนเวทีนี้
เอกภาพของขบวนการในความหมายที่ว่าเราไม่มีความขัดแย้ง ไม่เห็นต่างกันเลย
เห็นไปในทิศทางเดียวกันหมดทุกเรื่อง
อาจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดในการสร้างประชาธิปไตยในไทยหรือทั่วโลก และอาจเป็นสิ่งที่ไม่ควรนึกถึง
เพราะอาจทำให้สังคมกลายเป็นสังคมที่ไม่พึงปรารถนา
ความเห็นที่แตกต่างกันเป็นเรื่องปกติและควรเป็นส่วนหนึ่งของสังคมประชาธิปไตยด้วย
สิ่งที่ตนคิดว่าอาจจะสำคัญกว่าเอกภาพในความหมายข้างต้น
คือขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทยให้ความสำคัญน้อยเกินไปกับเอกภาพระหว่างเป้าหมายและวิธีการ
นี่อาจจะเป็นปัญหาในช่วงที่ผ่านมาและช่วงที่ตนมีประสบการณ์สัมผัสโดยตรง
การผลักดันประชาธิปไตยในแต่ละกลุ่มไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน วิธีการคิดแตกต่างกันได้
แต่ไม่ว่าจะเห็นอย่างไร ทุกการตัดสินใจ
ทุกจังหวะก้าวต้องไม่ลดทอนเป้าหมายคุณค่าที่เราอยากเห็น
“ไปแค่ยอดมะพร้าว ยังไม่ถึงดวงดาว ไม่เป็นไร
แต่การไปแค่ยอดมะพร้าวต้องไม่ลดทอนทำลายคุณค่าของเป้าหมายที่เราอยากไป
หรือทำให้เกิดอุปสรรคกับเป้าหมายที่เราอยากจะไปถึง ผมให้ความสำคัญเรื่องนี้”
ชัยธวัชกล่าว
หัวหน้าพรรคก้าวไกลยกตัวอย่างว่า
รัฐประหารปี 2534
ประชาชนต่อต้านน้อยมาก
เนื่องจากได้ขับไล่รัฐบาลที่เห็นว่าคอร์รัปชัน เป็นบุฟเฟ่ต์คาบิเนต และปี 2535
เป็นต้นมา ก้าวสำคัญของขบวนการประชาธิปไตยไทยคือการปฏิรูปธงเขียว
มีรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเราเคยยกย่องว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุด
แต่หากย้อนกลับไปรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกออกแบบมาด้วยวิธีคิดบางส่วนที่มีปัญหาจนถึงปัจจุบัน
นั่นคือยอมรับว่าต้องมีประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง อยากเห็นรัฐบาลที่เข้มแข็ง
มีประสิทธิภาพ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ไว้วางใจนักการเมืองจากการเลือกตั้ง
จึงไปออกแบบองค์กรอิสระเต็มไปหมด
หวังให้มาตรวจสอบควบคุมนักการเมืองที่ไม่ดีจากการเลือกตั้ง
ที่น่าสนใจคือไม่มีการพูดถึงการเพิ่มอำนาจสูงสุดของรัฐสภา
แต่กลับเห็นชอบอย่างยิ่งกับการลดอำนาจของสภาฯ เพิ่มอำนาจให้นายกฯ
นี่คือตัวอย่างความย้อนแย้ง
ขณะที่นอกสภาฯ
ความคิดที่เติบโตมากคือสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยทางตรง”
เกิดขึ้นจากบริบทที่ว่าไม่เอาเผด็จการ ไม่เอาทุนผูกขาด ต้องการความเป็นธรรม
แต่ไม่มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในประชาธิปไตยระบบรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง
โดยไม่ตั้งใจแนวคิดแบบนี้กลายเป็นหนุนเสริมการลดทอนทำลายอำนาจของพี่น้องประชาชนที่แสดงออกผ่านระบบรัฐสภาผ่านการเลือกตั้ง
และไปด้วยกันกับอนุรักษนิยมที่ต่อต้านประชาธิปไตย
ซึ่งยังเป็นโจทย์ปัญหาจนถึงปัจจุบัน
“นี่คือตัวอย่างของเอกภาพระหว่างวิธีการและเป้าหมาย
คุณตรวจสอบรัฐบาลที่คุณไม่ชอบได้
แต่ต้องไม่เลยเส้นจนไปทำลายความชอบธรรมของประชาธิปไตยแบบการเลือกตั้งเสียเอง”
ชัยธวัชกล่าว
ชัยธวัชยังได้กล่าวถึงปัญหาของการปกป้องนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งอย่างสุดขั้วตั้งแต่ปี
2549 เป็นต้นมา ชนิดที่แตะไม่ได้ ถ้าแตะเท่ากับเป็นอนุรักษนิยม
ตนคิดว่าในบริบทปัจจุบัน
ปมความขัดแย้งที่สำคัญคือเกิดการปะทะกันว่าตกลงอำนาจสูงสุดในประเทศนี้อยู่ที่ใคร
อยู่ที่ประชาชนหรืออำนาจที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน
โดยพื้นที่ที่แสดงออกอย่างมีนัยสำคัญมากคือสภาฯ พรรคการเมืองจึงมีบทบาทสำคัญมากตามไปด้วย
ตนเห็นว่านี่เป็นบรรยากาศทางการเมืองที่แตกต่างไปมากจากยุคที่ตนกล่าวถึงก่อนหน้านี้
ที่นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองหัวก้าวหน้า
แทบไม่สนใจการออกแบบสถาบันทางการเมืองเลย
ดังนั้น
ตนเห็นว่าสำหรับพี่น้องประชาชนแล้ว พรรคการเมืองมีความสำคัญมากและละทิ้งไม่ได้
หากเห็นว่าพรรคที่มีอยู่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน
ไม่สามารถตอบสนองเป้าหมายทางประชาธิปไตยได้
ก็ต้องช่วยกันสร้างพรรคการเมืองแบบนั้นขึ้นมา
ส่วนพรรคการเมืองทำอะไรได้บ้างในบริบทนี้
ตนเห็นว่าต้องต่อสู้ผลักดันวาระประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปแบบ
ทั้งเชิงระบบและเชิงโครงสร้าง เพื่อเพิ่มอำนาจของประชาชน และขณะเดียวกัน
หากเราเข้าใจภูมิหลังของปัญหาว่าไม่ใช่แค่ฝั่งอนุรักษนิยมที่คอยทำลายประชาธิปไตย
แต่ต้องยอมรับว่าพฤติกรรมของพรรคการเมืองรวมถึงนักการเมือง
หลายสิบปีที่ผ่านมาไม่สามารถสร้างศรัทธาและความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้
จึงสุ่มเสี่ยงว่าเมื่อเกิดวิกฤติทางการเมือง
ประชาชนจะไม่สนใจปกป้องระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา รวมถึงไม่ปกป้องพรรคการเมือง
ดังนั้นนอกจากการผลักดันวาระประชาธิปไตยแล้ว
พรรคการเมืองต้องมีส่วนอย่างสำคัญในการกลับมาสร้างความเชื่อมั่นและความศรัทธาของประชาชนต่อระบบรัฐสภาให้ได้
“ส่วนจะมีความคิดเห็นแตกต่างอย่างไรก็ตาม
ต้องไม่นำไปสู่การใช้วิธีการที่ลดทอนหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยเสียเอง
วันนี้พรรคก้าวไกลในฐานะฝ่ายค้าน เรามีหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล
มีหลายเรื่องที่เราไม่เห็นด้วย แต่เรามีเส้นอยู่ว่าเราจะไม่ค้าน ไม่วิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายบริหาร
ด้วยวิธีการอะไรก็ได้ หากเราเห็นว่าวิธีการแบบนี้มันชวนให้สังคมเลี้ยวขวา
ออกห่างจากคุณค่าหลักการพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย เราต้องไม่ทำ” ชัยธวัชกล่าว