“พิธา” ย้ำ กกต. กำลังสร้างสองมาตรฐาน ทำผิดขั้นตอน
ไม่เปิดโอกาสชี้แจงคดียุบพรรคก่อนส่งศาล ยกคำวินิจฉัยปี 53 ศาลรัฐธรรมนูญเคยปัดตกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์
เพราะ กกต. ทำผิดขั้นตอนเช่นกัน
วันที่
30 มิถุนายน 2567 ที่อาคารอนาคตใหม่ พิธา
ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล
แถลงความคืบหน้าการต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล
โดยระบุว่าจากการแถลงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2567
พรรคก้าวไกลมีข้อต่อสู้ทั้งหมด 9 ข้อ
ในประเด็นว่าด้วยเขตอำนาจและกระบวนการ ข้อเท็จจริง และสัดส่วนโทษ โดยเน้นย้ำในประเด็นว่ากระบวนการยื่นคำร้องของ
กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย, คำวินิจฉัยที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ไม่ผูกพันกับการพิจารณาคดีนี้
และโทษยุบพรรคเป็นมาตรการสุดท้ายที่ใช้เมื่อจำเป็นฉุกเฉินและไม่มีวิธีแก้ไขอื่น
ส่วนการแถลงในวันนี้เป็นเรื่องความคืบหน้าต่อเนื่อง
ซึ่งตนจะขอเน้นย้ำถึงกระบวนการยื่นคำร้องของ กกต. ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และทำให้กระบวนการยุบพรรคมีสองมาตรฐาน เพราะ กกต.
อ้างว่าในกรณีของพรรคก้าวไกลใช้แค่มาตรา 92 ก็สามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคได้
เพราะ “มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า” ทั้งที่มาตรา 93 เขียนไว้ชัดเจนว่าต้องต่อเนื่องจากมาตรา
92 ถ้าตีความอย่างเคร่งครัดคือไม่สามารถใช้แยกกรณีกันได้
ถ้าใช้แยกกรณีกันเมื่อใดหมายความว่ามีสองมาตรฐานในการยื่นยุบพรรคทันที
บางพรรคที่อยากให้เร็วก็ใช้เฉพาะมาตรา 92 แต่พรรคใดที่อยากให้ช้าหน่อยก็ใช้มาตรา
92 ประกอบกับ 93 ถ้าปล่อยให้ใช้แยกกันย่อมหมายความว่าจะเป็นการส่งพรรคก้าวไกลขึ้นทางด่วน
แต่พรรคอื่นไปทางธรรมดา เป็นสองมาตรฐานที่ต้องตั้งคำถามว่า กกต.
สามารถใช้ดุลยพินิจเช่นนี้ โดยไม่ต้องมีการถ่วงดุลและมีส่วนร่วมได้ด้วยหรือ
พรรคก้าวไกลจึงยืนยันว่า
กกต. ไม่สามารถตีความมาตรา 92 แยกออกจากมาตรา 93 ได้
ไม่เช่นนั้นจะเกิดสองมาตรฐานทันที
ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดก็ควรใช้มาตรฐานเดียวกัน
และทุกพรรคการเมืองควรได้รับสิทธิในกระบวนการที่ กกต. กำหนดขึ้นมาเอง
โดยต้องเปิดโอกาสให้พรรคที่ถูกร้องได้รับทราบข้อเท็จจริงและต่อสู้ทางกฎหมายในชั้น
กกต. ไม่สามารถปล่อยให้การยุบพรรคมีสองช่องทางได้
ขณะเดียวกัน
เมื่อมาตรา 93
ระบุว่า กกต.
ต้องรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 กกต.
จึงออกระเบียบเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรา 92 และ 93 ขึ้น
โดยสรุปได้ว่าต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องมีโอกาสรับทราบข้อกล่าวหาและโต้แย้งด้วยหลักฐานในชั้น
กกต.
ซึ่งระเบียบดังกล่าวทำให้คดียุบพรรคก้าวไกลกับคดียุบพรรคไทยรักษาชาติที่เกิดขึ้นก่อนการออกระเบียบดังกล่าวไม่เหมือนกัน
เรื่องนี้ถูกตอกย้ำโดยเอกสารคำอธิบายกระบวนการที่
กกต. จัดทำขึ้นมาเองเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ระบุว่าในกระบวนการยื่นคำร้องยุบพรรคต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องได้รับทราบและมีโอกาสโต้แย้งพยานหลักฐานในชั้น
กกต. ก่อนส่งศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีทางด่วนและทางธรรมดา
ทุกอย่างต้องลงมาในกระบวนการเดียวกันทั้งหมด ไม่มีข้อใดที่ระบุว่าเพียง
“มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า”
ก็สามารถส่งศาลรัฐธรรมนูญได้โดยไม่ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องโต้แย้งในชั้น กกต.
พิธากล่าวต่อไปว่า
การทำคำร้องยุบพรรคก้าวไกลครั้งนี้ กกต. มีวัตถุคดีชิ้นเดียว
คือคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ซึ่งพรรคก้าวไกลยืนยันว่าไม่ผูกพันกับการวินิจฉัยคดีนี้
ด้วยเหตุว่าเป็นคนละข้อหากัน เพราะคำวินิจฉัยที่ 3/2567 เป็นข้อกล่าวหาตามมาตรา
49 ของรัฐธรรมนูญ ส่วนคดีปัจจุบันเป็นข้อกล่าวหาตาม
พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 92 และ 93
นอกจากคนละข้อหากันแล้ว
ความหนักของโทษก็ต่างกัน คือสั่งให้เลิกการกระทำ
กับสั่งให้ยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค การที่ กกต.
ออกมาแถลงว่าคำวินิจฉัยที่ 3/2567 เป็นเหตุผลอันควรเชื่อได้ว่าและเป็นวัตถุคดีเพียงหนึ่งเดียวที่ใช้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ
โดยไม่เปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลได้โต้แย้ง จึงเป็นวัตถุคดีที่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
พิธาแถลงต่อไปถึงความคืบหน้าล่าสุด
ซึ่งสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้พรรคก้าวไกลทำบันทึกถ้อยคำภายใน
7 วัน เพื่อตอบ 2 คำถามสำคัญสำหรับใช้ในการนัดพิจารณาครั้งถัดไปคือวันที่
3 กรกฎาคม 2567 และการนัดคู่กรณีมาตรวจพยานหลักฐานวันที่
9 กรกฎาคม 2567
2
คำถามที่พรรคก้าวไกลได้รับมาคือ 1) พรรคก้าวไกลได้โต้แย้งต่อ
กกต. ในประเด็นที่พรรคไม่มีโอกาสชี้แจงในชั้นพิจารณาของ กกต. หรือไม่ และ 2)
การกระทำตามข้อเท็จจริงตามคดี 3/2567 อาจเป็นปฏิปักษ์หรือไม่
โดยคำถามข้อที่
1 คำตอบคือ
ในเมื่อพรรคก้าวไกลไม่มีโอกาสได้รับทราบข้อกล่าวหาและโต้แย้งในชั้น กกต.
จะเป็นไปได้อย่างไรที่พรรคก้าวไกลจะเรียกร้อง กกต. ให้ทำตามกระบวนการ
อีกทั้งยังไม่มีกฎหมายใดที่กำหนดหน้าที่ให้พรรคต้องโต้แย้งในกรณีที่ กกต.
ไม่ทำตามกระบวนการ
ทั้งนี้
เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่มีความคล้ายคลึงกัน คือคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ 15/2553 ศาลรัฐธรรมนูญเองก็เคยยกคำร้องเพราะ
กกต. ไม่ทำตามกระบวนการมาแล้ว
ด้วยเหตุว่านายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ได้ทำความเห็นส่งไปยัง กกต.
ซึ่งเป็นความผิดพลาดทางเทคนิคที่น้อยกว่ากระบวนการยุบพรรคก้าวไกลวันนี้ด้วยซ้ำ
แต่ศาลก็ยกคำร้อง
“ความผิดเพียงเล็กน้อยศาลยังยกคำร้อง ดังนั้นในกรณีของพรรคก้าวไกลที่
กกต.ข้ามขั้นตอน ปิดโอกาสในการชี้แจงซึ่งเป็นความผิดพลาดที่มากกว่า
ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้นว่าควรยกคำร้อง” พิธากล่าว
ส่วนในคำถามที่
2 พรรคก้าวไกลตอบไปว่า พรรคไม่สามารถตอบต่อศาลในชั้นนี้ได้
เพราะข้อกล่าวหาคำว่า “การกระทำเป็นการล้มล้างและอาจเป็นปฏิปักษ์”
เป็นคนละข้อกล่าวหากับคดี 3/2567 ที่กล่าวหาว่า
“ใช้เสรีภาพเพื่อล้มล้างฯ” เพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม
พรรคก้าวไกลยืนยันว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ได้
แต่ในเมื่อเป็นคนละข้อหาและเป็นประเด็นใหม่ ก็ต้องเริ่มกระบวนการใหม่ในชั้น กกต.
ให้ถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน แต่ในเมื่อ กกต. ปิดประตูใส่
พรรคก้าวไกลก็ไม่มีโอกาสได้ไปชี้แจง ไม่มีช่องทางในการท้วงติง
และในเมื่อเป็นประเด็นใหม่และขอบเขตใหม่ก็ต้องเริ่มต้นด้วยกระบวนการใหม่เท่านั้น
“ถ้าเกิดมันมีสองมาตรฐานแบบนี้ได้ ถ้า กกต.
อยากยุบพรรคไหนเป็นพิเศษก็ส่งขึ้นทางด่วน ใช้ 92 อย่างเดียว
พรรคไหนไม่อยากยุบเร็ว อยากประวิงเวลาให้ก็ส่งไปทางธรรมดา ใช้มาตรา 93 เข้ามาช่วย คุณเลือกใช้แบบนี้ไม่ได้ มันทำให้เกิดสองมาตรฐานในประเทศไทย
รวมถึงไม่สามารถบอกว่าคดีนั้นจบก็ถือว่าเอาคดีนั้นมาผูกพันกับคดีนี้
ถือเป็นหลักฐานอันเชื่อได้ว่า ซึ่งเป็นเรื่องดุลยพินิจล้วน ๆ
เรื่องที่โทษรุนแรงขนาดนี้ไม่สามารถที่จะใช้ดุลพินิจโดยไม่มีการถ่วงดุลได้”
พิธากล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พิธาลิ้มเจริญรัตน์ #ศาลรัฐธรรมนูญ #กกต #ยุบพรรค