ฝ่ายค้านจัดเวทีรับฟังภาคประชาชน-ธุรกิจสงขลา
สะท้อนปัญหาเศรษฐกิจภาคใต้ “ชัยธวัช” เปิดข้อมูล 3 ล็อก
ทำเศรษฐกิจภาคใต้โตต่ำกว่าภาคอื่น ชี้ต้องแก้เชิงระบบรวมปฏิรูปที่ดิน-กระจายอำนาจ
วันที่
25 พฤษภาคม 2567 ที่โรงแรมคริสตัล หาดใหญ่ จ.สงขลา
ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
พร้อมด้วยผู้นำและ สส. พรรคฝ่ายค้าน ร่วมเปิดเวทีผู้นำฝ่ายค้านพบประชาชน
โดยมีทั้งตัวแทนจากภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และหน่วยงานราชการ
ร่วมเวทีในวันนี้เป็นจำนวนมาก
เวทีช่วงเช้าเริ่มต้นด้วยการกล่าวปาฐกถาของชัยธวัช
ในหัวข้อ “3
ล็อกเศรษฐกิจภาคใต้”
ต่อด้วยวงเสวนารับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนและภาคธุรกิจ
ก่อนร่วมกันลงพื้นที่รับฟังปัญหาประชาชนรอบบริเวณทะเลสาบสงขลาในช่วงเย็น
ชัยธวัชระบุว่าล็อกที่หนึ่ง
เมื่อดูข้อมูลภาพรวมรายได้ของภาคใต้
จะเห็นว่ามีอัตราเติบโตน้อยและถดถอยลงตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา
โดยเพิ่มขึ้นช้ากว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ
ค่าเฉลี่ยรายได้จากที่เคยสูงก็ต่ำลงอย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปีแล้ว
การเติบโตของรายได้ในภาคใต้กระจุกตัวอยู่แค่ไม่กี่จังหวัด บางจังหวัดก็จนลงด้วย
ศักยภาพในการสร้างมูลค่าและรายได้ต่อหัวเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั้งประเทศในปี 2554
ภาคใต้เคยคิดเป็น 77% แต่ลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงปี
2565 เหลือแค่ 57% และหากดูรายจังหวัดก็จะเห็นได้ว่าจีดีพีต่อหัวไม่เพิ่มขึ้นเลย
และมีเพียงสามจังหวัดเท่านั้นที่โตเกิน 2% คือภูเก็ต ชุมพร
และพังงา
ล็อกที่สองคือด้านอาชีพ
ภาคใต้ในช่วงหลังพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนเครื่องยนต์อื่นๆ
แทบไม่โตเลยในภาพรวม
ภาคใต้ไม่มีอย่างอื่นโตเลยนอกจากการท่องเที่ยวซึ่งมีความผันผวนง่าย
เศรษฐกิจหลังโควิดภาคใต้ก็ยังโตช้าเมื่อเทียบกับภาคอื่น
ส่วนล็อกที่สามคือคุณภาพชีวิต จะเห็นว่าสัดส่วนครัวเรือนยากจนยังสูง
ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะความเหลื่อมล้ำในระยะยาวได้ ไม่มีงานให้ทำมากพอ
อัตราอาชญากรรมก็สูงกว่าค่าเฉลี่ย สัดส่วนประชากรยากจนก็สูง
ครัวเรือนในภาคใต้ที่มีความเสี่ยงกับภัยพิบัติก็สูงกว่าภาพรวมของทั้งประเทศ
ชัยธวัชกล่าวต่อไป
ว่าเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นในภาคเกษตร
การท่องเที่ยวอุตสาหกรรม อยู่ในสภาวะที่ควรตั้งคำถามว่าจะไปอย่างไรต่อ
ในภาคเกษตรแม้จะมีการเปลี่ยนสัดส่วนผลผลิต แต่มูลค่าผลผลิตโดยรวมไม่เปลี่ยนแปลง
การท่องเที่ยวก็ยังฟื้นตัวช้า ที่ฟื้นตัวเร็วได้แค่ไม่กี่จังหวัดเท่านั้น
นักท่องเที่ยวกลับมาปริมาณมากขึ้นแต่การจับจ่ายใช้สอยไม่ได้เพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวที่เป็นคนไทย
ทำให้ต้องพึ่งนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นอีก
ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างประเทศตอนนี้ก็กลับมาแค่ประมาณ 71% ของช่วงก่อนโควิดเท่านั้น
โจทย์ใหญ่ของการท่องเที่ยวภาคใต้ตอนนี้อยู่ที่จะกระจายสัดส่วนการกระจุกตัวของการท่องเที่ยวที่อยู่แค่ประมาณ
5 จังหวัด กระบี่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา พังงา
ได้อย่างไร
ขณะเดียวกัน
ในภาคอุตสาหกรรมก็มีปัญหาเรื่องการกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมขั้นต้นเท่านั้น
คือการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ ปัญหาคือ
อุตสาหกรรมเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนในราคาภาคเกษตรของโลกตามไปด้วยโดยตรง
อย่างที่เคยเกิดขึ้นและยังคงเกิดอยู่กับราคายางพาราในปัจจุบัน
ชัยธวัชยังกล่าวว่าสิ่งที่ต้องคิดวันนี้
ไม่ใช่การแก้ปัญหาเป็นรายมาตรการหรือรายธุรกิจ แต่เป็นการแก้ปัญหาในเชิงระบบ
วันนี้พี่น้องประชาชนหลายคนสะท้อนเรื่องการจัดการปัญหาที่ดิน
หลายคนพูดเรื่องการกระจายอำนาจ
เราให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้เพราะเราเชื่อว่าการยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจในต่างจังหวัดไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาทีละเรื่อง
แต่ต้องแก้ปัญหาทั้งระบบโครงสร้าง
อย่างเช่นการปฏิรูปที่ดินทั้งระบบเพื่อจัดการโครงสร้างที่ดินใหม่ การกระจายอำนาจ
การปฏิรูประบบงบประมาณ เป็นต้น
เวทีช่วงต่อมาคือการเสวนาในหัวข้อ
”ปัญหาและโอกาสทางเศรษฐกิจของภาคใต้“ โดยมีตัวแทนพรรคการเมืองฝ่ายค้านเข้าร่วม
ประกอบด้วย ศิริกัญญา ตันสกุล จากพรรคก้าวไกล, พลอยทะเล ลักษมีแสงจันทร์
จากพรรคประชาธิปัตย์, ชวลิต วิชยสุทธิ์ จากพรรคไทยสร้างไทย,
กัณวีร์ สืบแสง จากพรรคเป็นธรรม, วิชาญ
ช่างวาด จากพรรคครูไทยเพื่อประชาชน และ ธนกร สังข์โพธิ์ จากพรรคใหม่
โดยรูปแบบของวงเสวนาเป็นการเปิดเวทีให้ภาคประชาชนและภาคเอกชนใน
จ.สงขลา
มาร่วมสะท้อนปัญหาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นให้ตัวแทนพรรคฝ่ายค้านได้รับฟังข้อมูลร่วมกัน
ก่อนร่วมตอบคำถามและแสดงวิสัยทัศน์ในประเด็นเศรษฐกิจของภาคใต้
ในส่วนของศิริกัญญา
ระบุว่าประเด็นที่สะท้อนมาจากภาคประชาชนและภาคเอกชนมีหลายเรื่องที่ฝ่ายค้านสามารถรับนำไปผลักดันได้ทันที
หลายเรื่องเป็นประเด็นที่ต้องผลักดันผ่านร่างกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร
พ.ร.บ.โรงแรม ฯลฯ ส่วนอีกประเด็นที่ตัวแทนภาคประชาชนสะท้อนขึ้นมา
คือเรื่องของระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) ซึ่งสถานะล่าสุดวันนี้ยังไม่มีร่าง
พ.ร.บ.ที่เป็นของคณะรัฐมนตรีออกมา
ที่น่ากังวลคือถ้าร่างของคณะรัฐมนตรีออกมาเมื่อไหร่ ก็อาจจะเข้าสภาฯ
อย่างรวดเร็วและผ่านการพิจารณาอย่างรวดเร็ว จนอาจขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
แม้โดยเนื้อหาหลักหลายเรื่องจะมีความคล้ายคลึงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
แต่พอเป็น SEC บริบทค่อนข้างแตกต่างกันเพราะ EEC
เป็นการต่อยอดจากพื้นที่ที่มีพื้นฐานอุตสาหกรรมดั้งเดิมอยู่แล้ว แต่
SEC เป็นการเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น
ทำให้การดำเนินโครงการจำเป็นต้องมีความรอบคอบมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้
เวลาพูดถึงเศรษฐกิจของภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยว อุตสาหกรรม
หรือภาคเกษตรของภาคใต้
เราอยากเห็นบทบาทของรัฐที่มาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงขับเคลื่อนมากยิ่งขึ้น
หลายครั้งที่รัฐเหมือนจะมีแนวคิดแต่ก็ไม่ได้ขับเคลื่อนให้สุดหรือไม่ได้ทำเลย
อย่างเช่นรับเบอร์ซิตี้ (Rubber
City) ที่เดิมวางให้เป็นโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมการแปรรูปยางพาราในขั้นปลายมากขึ้น
ถึงขั้นตั้งนิคมอุตสาหกรรมรับเบอร์ซิตี้ขึ้นมา แต่สุดท้ายก็กลายเป็นนิคมร้าง
เราอยากเห็นอุตสาหกรรมในภาคใต้ที่พัฒนาจากขั้นพื้นฐานให้ก้าวหน้ามากขึ้น
แต่รัฐก็ต้องมีบทบาทนำมากกว่านี้
และแน่นอนว่าภาคเกษตรยังเป็นปัญหาโครงสร้างใหญ่สำคัญของภาคใต้
เพราะการพึ่งพิงพืชเศรษฐกิจไม่กี่ตัว
อาจทำให้มีความเปราะบางที่เสี่ยงต่อรายได้ที่ผันผวน
ภาคใต้เคยเป็นภาคที่มีอัตราส่วนของเด็กที่เรียนต่อในระดับภาคบังคับสูงที่สุดในประเทศรองจากกรุงเทพมหานคร
หลังจากนั้น 10
ปีกลายเป็นภาคที่มีเด็กต้องตกหล่นจากระบบการศึกษาประมาณหนึ่งในสาม
สะท้อนภาพใหญ่ของเศรษฐกิจที่เปราะบางผันผวนของภาคใต้
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคร่วมฝ่ายค้าน