“อ.ธิดา”
ยืนหยัดจัดงาน 14ปีเมษาพฤษภา53 เพื่อรำลึกและทวงความยุติธรรมในฐานะฝ่ายประชาชน
ไม่ใช่ในฐานะกองเชียร์พรรคการเมืองใด
ในวาระครบรอบ
14 ปี เหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 2553
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งเป็นวันที่นปช. ขณะนั้น ยุติการชุมนุม
หลังจากถูกอำนาจรัฐขณะนั้นปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนด้วยอาวุธกระสุนจริง
ทั้งซุ่มยิงและยิงซึ่งหน้า จนเป็นสาเหตุการเสียชีวิตร่วม 99 ศพ บาดเจ็บร่วม 2,000
คน โดยทหารใช้งบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท ใช้กำลังพล 67,000 นาย
มีการเบิกจ่ายกระสุน 778,750 นัด ส่งคืน 586,801 นัด เท่ากับใช้ไป 191,949 นัด
(อัพเดทจากรายงานการคืนกระสุน ครั้งที่ 2) ยอดสไนเปอร์จริง 500 นัด
ปืนซุ่มยิงดัดแปลง M1 ใช้ไป 4,842 นัด ตำรวจใช้งบประมาณกว่า 700 ล้านบาท สำหรับกำลังพล 25,000
นาย
เราได้จัดการชุมนุมในที่สาธารณะอย่างยิ่งใหญ่
มีคนนับหมื่นคนทุกครั้งทุกวันที่ 10 เมษายน, 19 พฤษภาคม มาตลอดตั้งแต่ดิฉันเป็นประธาน
นปช. เมื่อ 1 ธันวาคม 2553 จนถึงวันที่ 15 มีนาคม 2557 และครั้งสุดท้ายที่ นปช.
จัดงานที่ถนนอักษะ เมื่อ เมษา-พฤษภา ปี 2557 ก่อนจะมีการทำรัฐประหารในวันที่ 22
พฤษภาคม 2557
ช่วงเวลามีอำนาจคณะรัฐประหาร
5 + 4 ปี เราถูกคุกคาม ไม่อาจจัดงานได้ในที่สาธารณะ
เราจึงต้องไปร่อนเร่จัดตามวัดและสถานที่เอกชน เพิ่งจะในโอกาสตั้งแต่ปี 2564
เป็นต้นมาที่เรามาจัดที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา อย่างเปิดเผยต่อสาธารณะเป็นวาระแรก
แม้ว่าองค์กรนปช. จะไม่ได้ดำรงอยู่ที่เป็นจริง
แต่ดิฉันและคณะที่ต้องการทวงความยุติธรรม พร้อมญาติวีรชนเมษาพฤษภา
ก็ยังร่วมกันจัดงานในรูปแบบต่าง ๆ ดังที่ได้เรียนไว้แล้วทุกปีจนบัดนี้
ในอดีต
แม้เราจะจัดงานในฐานะองค์กรนปช. ในเรื่องราวใด ๆ ก็ตาม
ก็จะมีเวทีอิสระอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งต้องการแสดงตัวตนท่ามกลางคนเสื้อแดงของเวทีนปช.
ดิฉันไม่เคยสั่งการให้ไปยุติเวทีเหล่านั้นเลย
เพราะเห็นใจที่เวทีเหล่านั้นอยากเสนอแนวทางอุดมการณ์ที่เขาต้องรับผิดชอบด้วยตนเอง
ยามที่เราเป็นฝ่ายถูกกระทำ
เราก็จะเผชิญชะตากรรมด้วยกัน เราไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของหมู่มิตรสหายใด
แต่เราถือว่าผู้ปราบปรามสังหารประชาชนเป็นผู้ผิด ตราบที่ไม่มีการสำนึกผิด
กระทำการขอขมาต่อประชาชน ผู้ตายยังไม่ได้รับความยุติธรรม
ผู้ปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนก็ยังเป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือด
ไม่ว่าจะใส่เครื่องแบบหรือตำแหน่งใดก็ตาม นี่คือปฏิบักษ์ประชาชนตัวจริง!
แต่ขณะนี้
สถานการณ์การเมืองทางวิถีทางรัฐสภาได้เปลี่ยนไป
มีพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายถูกกระทำร่วมกับประชาชนในการต่อสู้ให้ได้ระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจแท้จริงเป็นของประชาชน
ได้ใช้ยุทธวิธีจับมือกับคณะที่มาจากและร่วมกับคณะที่ทำรัฐประหารในอดีตเมื่อ 10
ปีที่แล้ว ภาคประชาชนก็หวั่นไหวในการสนับสนุนพรรคการเมือง
ก็เป็นสิทธิที่มีความคิดแตกต่างกัน จากเคยเป็น “มิตรร่วมรบ สหายร่วมศึก”
ก็มีการแตกแยกด่าทอมุ่งร้ายเปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู ทั้ง ๆ
ที่สำหรับการเมืองในวิถีรัฐสภา จะไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร แต่ในภาคประชาชน
เรามีมิตรแท้และศัตรูถาวรของประชาชน
ดิฉันและคณะญาติวีรชน
เมษา-พฤษภา53
และประชาชนที่ร่วมอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยทั้งเก่าและใหม่
ก็ยังมีจุดยืนเช่นเดิมในการทำภารกิจเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่
คือทวงคืนความยุติธรรมให้ประชาชนที่ต่อสู้ในปี 2553 และต้องการ “นิรโทษกรรมให้คนเป็น
(ประชาชนและเยาวชนรุ่นใหม่) ทวงความยุติธรรมให้คนตาย”
จึงยังสืบทอดภารกิจที่ทำมาร่วม 14 ปีแล้ว เพราะ “การต่อต้านความอยุติธรรม
ถือเป็นหน้าที่ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตย” และ “ตราบที่ประเทศนี้ไม่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน
ก็ไม่ต้องหวังว่าประชาชนจะได้รับความยุติธรรมจริง” เราจึงยังยืนหยัดจัดงาน 14 ปี
เมษาพฤษภา 2553 เพื่อรำลึกและทวงความยุติธรรม ในฐานะฝ่ายประชาชน
ไม่ใช่ในฐานะกองเชียร์พรรคการเมืองใด
พบกันที่เดิมที่เราเคยจัดงานคือบนถนน
เริ่มจากสะพานลอยที่ 1 หน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์
พบมิตรร่วมรบสหายร่วมศึกทั้งเก่าและใหม่ เวทีประชาธิปไตยของประชาชน