รู้จัก
“บุ้ง ทะลุวัง” ผู้ต้องหา 112 และลูกตุลาการผู้อดอาหารประท้วงขอคืนความยุติธรรม
[ย้อนอ่านบทสัมภาษณ์จาก : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 เผยแพร่เมื่อวันที่
10 มิถุนายน 2565]
“บุ้ง” เนติพร (สงวนนามสกุล) ติวเตอร์และนักกิจกรรม วัย 26 ปี
ซัปพอร์ตเตอร์ผู้เป็นฉากหลังคอยขับเคลื่อนให้กิจกรรมทางการเมืองของน้องๆ
เกิดขึ้นได้นับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ประเด็นการศึกษาของกลุ่มนักเรียนเลว
มาจนถึงการตั้งคำถามดันข้อเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์”
ของกลุ่มทะลุวังในปัจจุบัน ด้วยความเชื่อมั่นอย่างยิ่งในพลังของเยาวชนว่า
เป็นพลังแห่งความบริสุทธิ์ พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง และพลังแห่งอนาคต
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก
บุ้งเติบโตขึ้นมาในครอบครัวตุลาการ พ่อเป็นผู้พิพากษา พี่สาวเป็นทนายความ มี “ศาล”
เป็นสนามเด็กเล่น และได้ผู้พิพากษาที่ให้ความเอ็นดูมาเป็นเพื่อนเล่นเช่นกัน
เมื่อโตขึ้นอีกหน่อย บุ้งสารภาพว่า สมัยเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย
เธอมีมุมมองต่อสังคมการเมืองตรงข้ามกับในตอนนี้มากนัก บุ้งเคยเข้าร่วมม็อบ กปปส.
และเมื่อครั้งที่มีการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553
จนมีผู้เสียชีวิตนับร้อย เธอในชุดเครื่องแบบนักเรียนก็เห็นดีเห็นงามด้วย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป
เธอเติบโตขึ้น ได้รับสารหลายทางมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่า
หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุล้อมปราบคนเสื้อแดง เขาคนนั้นเป็นเพียง “คนไร้บ้าน”
ที่ถูกสไนเปอร์ยิง สิ่งนี้เปลี่ยนความคิดและมุมมองทางเมืองทั้งชีวิตที่ผ่านมา
ความรู้สึกผิดต่อคนเสื้อแดงในฐานะ 1 เสียงที่สนับสนุนให้มีการรัฐประหารเกิดขึ้นในประเทศจนมีผู้เสียชีวิตนับไม่ถ้วน
นำทางเธอเข้าสู่สนามการเคลื่อนไหวการเมือง
แม้บุ้งจะมีบทบาทเป็นเพียงผู้คอยสนับสนุนกิจกรรมของทะลุวัง
แต่ทว่าเธอถูกดำเนินคดีจากการแสดงความคิดเห็นและแสดงออกทางการเมืองถึง 3 คดี
โดยเป็นคดีตามมาตรา 112 จากการทำโพลของทะลุวัง 2 คดี หนึ่งในนั้นคือ กรณีทำโพลสำรวจความเดือดร้อนจากขบวนเสด็จ
ที่ทำให้เธอและ “ใบปอ”
ต้องถูกศาลอาญากรุงเทพใต้สั่งถอนประกันและส่งไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
มาตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 2565
จนถึงขณะนี้
ศาลก็ยังคงไม่ให้ประกันตัว บุ้งและจึงเริ่มต้นอดอาหารประท้วงมาตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย. 2565 โดยยืนยันว่าจะอดอาหารต่อไปจนกว่าจะศาลจะให้ประกันตัว
ชวนรู้จักตัวตน
ชีวิต และเส้นทางการต่อสู้ ของ “บุ้ง” ผ่านบทสนทนาสั้นๆ
จากการเข้าเยี่ยมของทนายความ ขณะเธอถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำนานกว่า 1 เดือน
และทำอดอาหารประท้วงนาน 1 สัปดาห์แล้ว
โตมาในครอบครัวตุลาการ
บุ้งเป็นคนหนึ่งที่เติบโตมาในครอบครัววงการตุลาการ
พ่อเป็นผู้พิพากษา พี่สาวเป็นทนายความ
ตัวบุ้งเองก่อนหน้านี้ก็ถูกคาดหวังว่าให้เรียนกฎหมายเหมือนพ่อ
เติบโตมากับการวิ่งเล่นที่ศาล เลิกเรียนมาก็จะไปที่ศาล
เคยมีผู้พิพากษาท่านหนึ่งที่หลายคนรู้จักชื่อดี
เคยบอกว่า ‘มีอะไรให้บอกเขานะ บอกได้ เพราะเราเป็นลูกหลานตุลาการ’
บุ้งไม่คิดเหมือนกันว่าสถานที่ที่บุ้งเติบโตวิ่งเล่นมา
วันนี้จะเป็นที่ที่ตัดสินให้บุ้งมาอยู่ในคุก เพียงเพราะบุ้งช่วยน้องทำโพลตั้งคำถาม
กล่าวหาว่าบุ้งเป็นภัยความมั่นคงของประเทศ เหมือนว่าสิ่งที่บุ้งทำร้ายแรงมาก
บุ้งเห็นว่าลูกหลานตุลาการคนอื่นๆ
ก็จะออกมาอีกในอนาคต ไม่ใช่แค่บุ้ง
เพราะเขาจะเห็นว่าความยุติธรรมเหลือน้อยลงทุกทีในประเทศเผด็จการนี้
อันนี้คือสิ่งที่อยากจะพูด แม้จะเติบโตมาในศาล ต้องนับถือผู้พิพากษาเป็นลุง เป็นอา
นับถือกันเป็นญาติ แต่ไม่มีผู้พิพากษาคนไหนเลยที่จะยืนเคียงข้างบุ้งและเรียกร้องให้บุ้งออกไปเลย
เริ่มสนใจการเมืองและเข้ามาเคลื่อนไหวได้ยังไง
ต้องเล่าย้อนกลับไปก่อนว่าสมัยมัธยมปลายบุ้งเคยเป็นสลิ่ม
เคยไปร่วมม็อบ กปปส. มาก่อน เริ่มสนใจการเมืองมาตั้งแต่นั้น
เราอัปเดตข้อมูลมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเราตาสว่างเพราะ “ช่อ-พรรณิการ์ วานิช”
ตอนนั้นคุณช่อเอารายชื่อคนที่ตายจากการเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ปี 2553
มาให้ดูว่ามีใครบ้าง แล้วปรากฏว่าหนึ่งในนั้นเป็นแค่ ‘คนไร้บ้าน’
ที่ถูกสไนเปอร์ยิง
จากข้อเท็จจริงนั้นทำให้สิ่งที่บุ้งเคยเชื่อในอดีตกลับกลายเป็นเรื่องที่ผิดหมดเลย
หลังจากนั้นบุ้งก็หาข้อมูลมากขึ้น จนรู้สึกว่าตัวเองตาสว่าง
แล้วก็รู้สึกผิดมากต่อคนเสื้อแดง (ร้องไห้)
ตอนนั้นพอวันรุ่งขึ้นมันมีการจัดกิจกรรม Big Cleaning Day ด้วย
แต่บุ้งไม่ได้ไปกับเขาด้วยนะ ตอนนั้นเราก็รับรู้ในแบบที่รัฐบาลต้องการให้เรารู้
(สะอึกและร้องไห้)
มารู้เอาตอนหลังว่า
Big
Cleaning Day มันคือการทำลายหลักฐาน ทำให้หลายคนที่สูญเสียญาติ
เสียพี่น้อง เสียคนรักไปไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่ากระสุนถูกยิงมาจากตรงไหน
เพราะหลักฐานมันถูกทำลายไปหมดแล้ว
เราก็เลยรู้สึกผิดมาตลอด
คิดว่าจะต้องออกมาทำอะไรสักอย่างเพื่อพวกเขา
บุ้งคิดว่ากลับกันถ้าเป็นเราที่สูญเสีย เป็นคนที่เรารักถูกยิงตายอยู่ตรงนั้น
เราจะหาหลักฐานมาเรียกร้องหาความยุติธรรมให้คนเขาไม่ได้เลย มันจะรู้สึกแย่ขนาดไหน
(ร้องไห้และเสียงสั่นเครือตลอดเวลา)
ทำไมถึงเริ่มต้นการเคลื่อนไหวด้วยเรื่อง
“การศึกษา”
บุ้งเริ่มต้นเคลื่อนไหวเรื่องการศึกษาก่อน
ตั้งแต่กลางปี 2563 เพราะว่าเราเป็นติวเตอร์ด้วย
เรารู้สึกว่าระบบการศึกษาในประเทศไทยมันล้าหลังหลายอย่างเลย
หลักสูตรการสอนที่มันไม่อัพเดตให้ทันสมัย
ตีกรอบความคิดของเด็กนักเรียนให้อยู่แต่ในโอวาท ไม่ให้มีความคิดเป็นของตัวเอง
เรื่องแรกที่เราเรียกร้องตอนนั้น
คือ เรื่องสิทธิการไว้ ‘ทรงผม’ ของนักเรียน LGBT+ เรามองว่าเขาเป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ
แล้วทำไมเขาจะไว้ทรงผมตามเพศสภาพของเขาไม่ได้
เขาควรจะมีสิทธิเสรีภาพในเนื้อตัวและร่างกายมากกว่านี้
แล้วบางครั้งกฎระเบียบของโรงเรียนให้อำนาจครูลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุได้ด้วย
ทั้งๆ ที่มันเป็นการละเมิดสิทธิของเด็ก
จนมาช่วงกรกฎาคมปีที่แล้ว
เป็นช่วงที่เด็กๆ ยังไม่ได้วัคซีนป้องกันโควิดกัน
ในขณะที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราโกงกินกันอย่างสนุกสนาน
เยาวชนและเด็กในประเทศเรายังไม่ได้ฉีดกันสักเข็มเลย
บุ้งก็เลยออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องวัคซีนให้กับเด็กๆ
บุ้งมีบทบาทอะไรในการเคลื่อนไหว
เราเคลื่อนไหวโดยคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังเด็กๆ
ที่เขาออกไปเคลื่อนไหว เพราะส่วนใหญ่ที่ออกมากันก็ยังเป็นเด็กอยู่
ยังไม่มีความพร้อมเรื่องทรัพยากร
บุ้งก็จะช่วยหาเงินให้การเคลื่อนไหวของเขามันไปต่อได้
เด็กบางคนแค่ออกมาเคลื่อนไหวก็โดนพ่อแม่ทำร้ายร่างกาย เพราะว่าทัศนคติแตกต่างกัน
โดนลิดรอนเสรีภาพ เราไม่มีแรงอำนาจภายในที่จะปกป้องเขาได้
เราก็เลยเลือกที่จะมาทำตำแหน่งนี้
ทำไมต้องเป็น
“เด็ก – เยาวชน”
ตอนเด็กๆ
ช่วงก่อนตาสว่าง บุ้งได้คุยกับทิชา ณ นคร เขาถามเราว่า ‘เคยไปที่บ้านกาญจนาไหม’
เขาบอกว่า ‘ที่นั่นจะไม่มีรั้วกั้นเลยนะ เด็กสามารถเดินออกมาได้เลย
แต่ก็ไม่เคยมีใครเดินออกมาสักคน’ ทิชาอธิบายให้ฟังว่า จริงๆ แล้ว ‘เด็กเป็นผ้าขาว’
อะไรที่เขาทำผิดพลาดไปมันเกิดมาจากการที่สังคมบีบให้เขาต้องทำแบบนั้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม
ตอนนั้นทิชายกตัวอย่างว่า
ไม่ว่าเป็นคดีฆาตกรรมหรือเป็นคดีทางเศรษฐกิจ
ทั้งหมดล้วนมาจากสังคมที่ทำให้เด็กต้องเป็นแบบนั้น
หลังจากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันกับทิชา
บุ้งเลยค่อนข้างเชื่อในพลังของเยาวชนคนรุ่นใหม่
เลยตัดสินใจเข้ามาสนับสนุนเยาวชนมากกว่า
จุดเริ่มต้นการทำ
“โพล” ตั้งคำถามของทะลุวัง
ช่วงพฤศจิกายน
2563 บุ้งได้ทำม็อบกับกลุ่มนักเรียนเลว แล้วมีโอกาสได้เวิร์คช็อปกับทนายอานนท์
นำภา พี่อานนท์บอกว่า ‘การตั้งคำถามจะเป็นอะไรที่สามารถทำได้โดยที่ไม่ผิดมาตรา 112’
มันก็เลยติดอยู่ในใจบุ้งมาตลอดว่า
บุ้งอยากเคลื่อนไหวด้วยการตั้งคำถามที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคม
บวกกับตอนนั้นที่เคยจัดม็อบของนักเรียน
นักเรียนเขาทำโพลเกี่ยวกับผ้าอนามัยในม็อบ บุ้งก็เลยคิดมาตลอดว่าอยากจะทำโพล
จนกระทั่งได้มาทำกับทะลุวัง
‘ทะลุวัง’ คนที่ก่อตั้งมี 3 คน คือ ใบปอ สายน้ำ
และตะวัน แต่ตอนหลังตะวันกับสายน้ำก็ออกไป แล้วก็มีเมนู กับ พลอยเข้ามา
ซึ่งไอเดียการทำโพล ก็ได้มาจากบุ้งนี่แหละ
แต่ตอนนั้นบุ้งยังคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังอยู่ ยังไม่ได้เรียกตัวเองเต็มปากว่าเป็น
‘บุ้ง ทะลุวัง’ หรืออะไร
ก่อนจะออกมาเคลื่อนไหวได้ประเมินไหมว่าจะต้องเจออะไรบ้าง
ตอนที่ออกมาเคลื่อนไหวประเด็นเรื่องสถาบัน
เราก็ประเมินไว้ว่าอาจจะหนักสุดถึงขั้น ‘ตาย’ ก็ได้
แต่ว่าในวันนั้นบุ้งไม่ได้เป็นคนที่อยู่ข้างหน้า บุ้งก็ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองจะโดน
112 ด้วย จนต้องเข้าเรือนจำอยู่ตอนนี้
เรารู้อยู่แล้วว่าการออกมาเคลื่อนไหวอะไรแบบนี้ พวกเราจะต้องเสียอะไรไปเยอะมากแน่ๆ
แต่วันนั้นที่เราไปทำโพลขบวนเสด็จ เราไปดูแลน้อง แต่เราก็ไม่คิดเลยว่าจะโดน 112
วันนี้ที่ถูกดำเนินคดี
ม.112 คิดว่า “ได้” หรือ “เสีย” อะไรบ้าง
รู้สึกดีใจที่โพลมันแมส
มันสำเร็จในขั้นหนึ่งที่เราต้องการจะเห็น
ก็คือการดึงความเชื่อมั่นของประชาชนกลับมาว่าต้องสามารถตั้งคำถามได้
เพราะว่าประเทศไทย ทั้งระบบในครอบครัว ในโรงเรียน มันสอนให้เชื่อง ให้เชื่อฟัง
ไม่ได้สอนให้คนตั้งคำถาม ซึ่งการตั้งคำถาม การวิจารณ์ การแสดงความคิดเห็น
มันเป็นพื้นฐานขั้นต้นของระบอบประชาธิปไตยเลยนะ
ขณะเดียวกันถามว่าเสียอะไรไปบ้างไหม
ก็สูญเสียคล้ายๆ ใบปอเลย คือเสียเพื่อนร่วมงาน เสียเงิน เสียอิสรภาพ
เสียทรัพยากรที่ไม่ควรจะเสีย เสียอะไรหลายหลายอย่างในใจไปเยอะเหมือนกัน
แล้วก็รู้สึกว่า ‘สูญเสียตัวตน’ ไปด้วย ซึ่งข้างหลังนี้มันก็ยากที่จะเอากลับคืนมา
สูญเสียตัวตนยังไง
การที่บุ้งมาทำตรงนี้ทำให้บุ้งโฟกัสอยู่แต่กับการเคลื่อนไหว
จนลืมไปแล้วว่าตัวตนของเราที่ถ้าไม่ได้ทำตรงนี้ เราจะเป็นคนยังไง
เราจะมีความชอบอะไร เราจะใช้ชีวิตแบบไหน อยากมีลูกไหม อยากแต่งงานไหมหรือเปล่า
กลายเป็นว่าความเคลื่อนไหวทำให้เราตัดหมดเลย
ลืมไปหมดแล้วว่าตัวตนของเราจริงๆ คืออะไร นึกไม่ออกว่าเวลาว่างถ้าจะทำงานอดิเรก
จะทำอะไร
โดยเฉพาะ
“การถูกขังในคุก” ทำให้สูญเสียอะไรบ้าง
บุ้งสนับสนุนเยาวชนก็จริง
แต่ส่วนหนึ่งที่บุ้งมาทำก็เพราะเกิดจากการทำผิดอย่างใหญ่หลวงต่อคนเสื้อแดง
บุ้งทำให้การฆ่าคนเสื้อแดงตอนนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ เป็นเรื่องที่ถูก
ถ้าถามว่าการถูกขังทำให้เสียไหม
คำตอบคือ “ไม่” บุ้งคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องชดใช้อยู่แล้ว
บุ้งไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจะขอคำอภัยจากคนเสื้อแดงด้วยซ้ำ
เพราะว่าสิ่งที่เขาสูญเสียไปเทียบไม่ได้เลยกับการที่บุ้งติดคุก
ทำไมถึงรู้สึกผิดและรู้สึกต้องรับผิดชอบต่อคนเสื้อแดงขนาดนั้น
หนึ่งเสียงที่สนับสนุนเผด็จการให้เกิดขึ้นในประเทศ
มันก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้วค่ะ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย และหนึ่งในเสียงนั้น
ต่อให้เป็นเสียงของบุ้งแค่คนเดียว ไม่ได้ใหญ่เท่าแกนนำ
แต่สนับสนุนให้เขาสามารถทำเรื่องที่ผิดขนาดนั้นได้
เป็นหนึ่งเสียงที่สนับสนุนให้ฆ่าคน
และเมื่อเราออกมาเคลื่อนไหวก็ไม่ใช่ใครที่ไหนที่ออกมาเคียงข้างเราก็คือ
‘คนเสื้อแดง’
หลังจากติดคุกมา
1 เดือนกว่า มองภาพ “อนาคต” ของตัวเองเปลี่ยนไปจากเดิมไหม
เปลี่ยนค่ะ, เพราะว่าก่อนหน้านี้บุ้งวางบริบทของตัวเองไว้ว่าจะอยู่ข้างหลัง
คอยซัพพอร์ตน้องๆ สัญญากับตัวเองไว้ว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่ทิ้งน้องไปไหน
แต่ตอนนี้บุ้งเหมือนรู้สึกถูกผลักให้ออกมาอยู่ข้างหน้า
ถูกทำให้ติดคุก บุ้งจะไม่เรียกตัวเองว่าแกนนำ
แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะเห็นว่าบุ้งเป็นแกนนำไหม แล้วมันก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน
ระหว่างการเป็นคนที่อยู่ข้างหลังกับการอยู่ข้างหน้า อาจจะต้องวางบทบาทของตัวเองใหม่
แต่ยังไงบุ้งก็จะทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด ก็คือซัพพอร์ตคนรุ่นใหม่
ทำไมถึงเลือก
“อดอาหาร”
เรายื่นประกันไปหลายรอบแล้ว
จนกระทั่งเพื่อนๆ เราก็ได้ออกไปแล้ว แล้วในสิ่งที่บุ้งทำ บุ้งไม่ได้ทำอะไรเลย
ตอนบุ้งถูกถอนประกัน เพราะบุ้งแค่ไปยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ
ก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมต่อตัวเอง พอศาลไม่ให้ประกันครั้งที่ 4 อยู่ๆ
ใบปอก็พูดกับบุ้งว่า ‘หนูจะอดข้าวแล้ว’ บุ้งเลยโอเค
ถ้าน้องจะอดบุ้งก็จะอดไปกับน้อง
คิดยังไงที่บางคนไม่เห็นด้วยกับการอดอาหารของเรา
ก่อนที่บุ้งจะเข้ามาบุ้งก็ได้ยินตลอด
เพราะตะวันเข้ามาก่อนบุ้งประมาณ 2 อาทิตย์ เราก็จะได้ยินมาตลอดว่า
ถ้าได้เข้าไปในเรือนจำ ไปบอกน้องด้วยนะว่า ‘ให้เลิกอดอาหาร’
บุ้งก็ได้ให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า
บุ้งไม่ห้ามเจตจำนงของใคร ขณะเดียวกันสิ่งที่บุ้งทำได้ คือ
เคารพการตัดสินใจของน้องว่าน้องอดอาหาร แล้วก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้น้องได้ออกมา
ขอบคุณบทสัมภาษณ์จาก
ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน