เปิดผลโพล
สถาบันพระปกเกล้า “ความนิยมในพรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรี 1 ปีหลังการเลือกตั้ง 14
พฤษภาฯ 2566” คนไทยเทใจเลือก “ก้าวไกล” หากเลือกตั้งตอนนี้ ส่วน “เพื่อไทย”
คะแนนนิยมวูบฮวบ ๆ
สถาบันพระปกเกล้า
โดย สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับ สำนักส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง
และศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง 76 จังหวัด
ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ความนิยมในพรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรี :
1 ปีหลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาฯ 2566”
จำนวน 1,620 ตัวอย่างทั่วประเทศ
โดยทำการเก็บข้อมูลระหว่างวันที่
7-18 พฤษภาคม 2567 ผ่านวิธีการสัมภาษณ์ตามแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
(อายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป) พบว่า
เมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างว่า
“ถ้ามีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคการเมืองใดในการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต”
35.7% ระบุว่า จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล
18.1% ระบุว่า จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย
11.2%
ระบุว่า จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทย
9.2% ระบุว่า จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรครวมไทยสร้างชาติ
7.8% ระบุว่า จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ
5% ระบุว่า จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์
1.6% ระบุว่า จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนา
1.2% ระบุว่า จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคประชาชาติ
ขณะที่มีผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าจะลงคะแนนให้ผู้สมัครจากพรรคอื่น
ๆ หรือยังไม่ตัดสินใจเลือกใครในตอนนี้ รวมกันอีก 10.2%
เมื่อสอบถามว่า
“แล้วในการเลือกตั้ง ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ถ้ามีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(ส.ส.) ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะลงคะแนนให้แก่บัญชีรายชื่อของพรรคใด”
ผู้ตอบแบบสอบถาม 44.9% ระบุว่า จะลงคะแนนให้พรรคก้าวไกล
44.9% ระบุว่า จะลงคะแนนให้พรรคก้าวไกล
20.2% ระบุว่า จะลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทย
10.9% ระบุว่า จะลงคะแนนให้พรรครวมไทยสร้างชาติ
3.5% ระบุว่า จะลงคะแนนให้พรรคภูมิใจไทย
3% ระบุว่า จะลงคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์
1.3% ระบุว่า จะลงคะแนนให้พรรคประชาชาติ
0.7% ระบุว่า จะลงคะแนนให้พรรคชาติไทยพัฒนา
นอกจากนี้
น่าสนใจว่า ยังมีผู้ตอบที่ระบุว่าจะลงคะแนนให้พรรคการเมืองอื่น ๆ
หรือไม่ต้องการลงคะแนนให้พรรคใดเลยในตอนนี้ รวมกันถึง 12.6%
อย่างไรก็ตามเมื่อนำผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในครั้งนี้เปรียบเทียบกับผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่
14 พฤษภาคม 2566 ปรากฏว่า
พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเพิ่มขึ้นมี 2 พรรค คือ พรรคก้าวไกลและพรรคประชาชาติ
โดยพรรคก้าวไกลได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น คิดเป็น 9.67%
ซึ่งอาจส่งผลให้พรรคมีโอกาสชนะการเลือกตั้งและได้ ส.ส. เพิ่มขึ้นถึง 49 ที่นั่ง
ส่วนพรรคประชาชาติได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนเพิ่มขึ้น
คิดเป็น 0.35% ซึ่งอาจทำให้พรรคมีโอกาสชนะการเลือกตั้งและได้ ส.ส. เพิ่มขึ้น 1 ที่นั่ง
ขณะที่มีพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตลดลง
จำนวน 6 พรรค ได้แก่ พรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนนิยมลดลง 7%
และอาจส่งผลให้พรรคมีโอกาสเสียที่นั่งที่มีอยู่เดิมไปราว 28
ที่นั่ง พรรคพลังประชารัฐ คะแนนนิยมลดลง 3.41%
มีโอกาสเสียที่นั่ง 11 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทย คะแนนนิยมลดลง 2.64% มีโอกาสเสียที่นั่ง 10 ที่นั่ง และพรรคประชาธิปัตย์
คะแนนนิยมลดลง 1.13% มีโอกาสเสียที่นั่ง 3 ที่นั่ง
สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติที่ได้รับคะแนนนิยมลดลง
0.47% และพรรคชาติไทยพัฒนาที่ได้รับคะแนนนิยมลดลง 0.02%
นั้น
คะแนนนิยมที่ลดลงดังกล่าวยังไม่มากพอที่จะส่งผลให้พรรคการเมืองทั้งสองมีที่นั่งลดลง
ส่วนของการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ
ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบ พบว่า มีพรรคการเมือง 5
พรรคได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนเพิ่มขึ้น คือ พรรคก้าวไกลได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น
คิดเป็น 8.33% พรรคพลังประชารัฐ ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น 1.62% พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น 0.66%
พรรคภูมิใจไทย ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น 0.6%
และพรรคชาติไทยพัฒนา ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น 0.19%
อย่างไรก็ตาม
คะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวส่งผลให้พรรคก้าวไกลมีโอกาสได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น 8 ที่นั่ง
และพรรคพลังประชารัฐมีโอกาสได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น 1 ที่นั่ง
เพียงสองพรรคเท่านั้น
ส่วนคะแนนที่เพิ่มขึ้นของอีกสามพรรคยังไม่มากพอที่จะทำให้ได้ที่นั่งเพิ่ม
ขณะที่มีพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนในการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อลดลง
จำนวน 3 พรรค คือ พรรคเพื่อไทย ได้รับคะแนนนิยมลดลง คิดเป็น 7.49% พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น คิดเป็น 1.18% และพรรคประชาชาติ ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น คิดเป็น 0.24%
คะแนนนิยมที่ลดลงดังกล่าวมีผลให้พรรคเพื่อไทยมีโอกาสได้ที่นั่งจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อน้อยลง
8 ที่นั่ง พรรครวมไทยสร้างชาติมีโอกาสได้น้อยลง 2
ที่นั่ง และพรรคประชาชาติมีโอกาสได้ที่นั่งน้อยลง 1
ที่นั่งตามลำดับ
เมื่อนำตัวเลขประมาณการที่นั่งที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคมีโอกาสได้รับจากการเลือกตั้งทั้งสองระบบมารวมกัน
พบว่า หากมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในช่วงเวลานี้
พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่มีโอกาสได้ที่นั่งมากที่สุด รวม 208 ที่นั่ง
รองลงมาเป็นพรรคเพื่อไทย
105 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทย 61 ที่นั่ง
พรรครวมไทยสร้างชาติ 34 ที่นั่ง พรรคพลังประชารัฐ 30 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ 22 ที่นั่ง
พรรคชาติไทยพัฒนา 10 ที่นั่ง และพรรคประชาชาติ 9 ที่นั่ง ตามลำดับ ส่วนที่นั่งที่เหลือจะกระจายไปยังพรรคการเมืองอื่น ๆ รวม
21 ที่นั่ง
เมื่อสอบถามว่า
“ถ้าเลือกได้ อยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในช่วงเวลานี้มากที่สุด”
46.9% ระบุว่า อยากให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี
17.5% ระบุว่า อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
10.5% ระบุว่า อยากให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
8.7% ระบุว่า อยากให้ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมตรี
3.3% ระบุว่า อยากให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี
1.7% ระบุว่า อยากให้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
0.4% ระบุว่า อยากให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้
ยังมีผู้ตอบที่ระบุชื่อคนอื่น ๆ รวมกับที่ยังไม่เห็นว่ามีคนที่เหมาะสมอีก 10.9%
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สถาบันพระปกเกล้า #ก้าวไกล #พิธาลิ้มเจริญรัตน์ #เลือกตั้ง