#14ปีเมษาพฤษภา53 ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา
ปาฐกถาสั้นโดย
ศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สวัสดีครับ
พ่อแม่พี่น้อง ญาติพี่น้องผู้เสียสละในเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 2553
มวลชนเสื้อแดงที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย 2553 และต่อมา จนถึงท่านผู้มีเกียรติ
นักศึกษา และประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ ผมขอขอบพระคุณ
คุณหมอเหวงและอาจารย์ธิดาที่กรุณาเชิญผมมาร่วมงานครั้งนี้และให้เกียรติในการกล่าวปาฐกถาสั้น
ๆ สำหรับงานสำคัญในวันนี้
ก่อนอื่นขอคารวะและขอสดุดีจิตใจของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนที่ไม่กลัวความยากลำบากไม่กลัวตายของทุกท่านในขบวนการคนเสื้อแดงในวันนี้
และขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อญาติพี่น้องของผู้เสียสละที่ล่วงลับไปแล้ว
ถ้ามองในแง่ของประวัติศาสตร์ผมคิดว่าการต่อสู้ของขบวนการคนเสื้อแดงโดยเฉพาะในเดือนเมษา-พฤษภา
2553
มีลักษณะที่สำคัญและมีความหมายอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนไทย
ถ้าหากว่าเรามองย้อนกลับไป เราเริ่มหมุดหมายของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญที่ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยเป็นขั้นแรก
เราก็คงต้องยึดถือเอาการเปลี่ยนแปลงวันที่ 24 มิถุนายน 2475
เป็นจุดเริ่มต้นของการสถาปนาระบอบอำนาจอธิปไตยที่เป็นของประชาชนเป็นครั้งแรก
จากนั้นมา
การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวเพื่อที่จะไปบรรลุจุดหมายของประชาธิปไตยให้สมบูรณ์มันผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบันนี้ประมาณ
90 ปี ถ้ามองในแง่ของชีวิตคน ๆ หนึ่ง 90 ปี มันไม่น้อย นานมาก นานกว่าหลาย ๆ คน
แต่ถ้ามองในแง่ของประวัติศาสตร์สังคมทั่วโลก 90 ปี ไม่ยาว ไม่นานเท่าไหร่ จริง ๆ
แล้วก็ยังสั้น ประวัติศาสตร์สังคมอย่างน้อยที่สุดมันยาวเป็นถึงร้อยเป็นพันปี
เพราะฉะนั้น
การมาชุมนุมกันเพื่อมารำลึกถึงเหตุการณ์การต่อสู้ของคนเสื้อแดงวันนี้ ผมคิดว่ามีลักษณะที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่อยากจะกล่าวย่อ
ๆ ในที่นี้ก็คือว่า ผมคิดว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงปี 53
เป็นครั้งแรกที่มวลประชาชน โดยเฉพาะคนที่อยู่นอกศูนย์กลาง คนที่เรียกว่าอยู่ในหัวเมืองชนบท
นอกเมืองหลวงจำนวนมากตัดสินใจเคลื่อนขบวนเข้ามาเพื่อทำการประท้วงเรียกร้องสิทธิทางการเมืองอันสมบูรณ์ของพวกเขากันเอง
ไม่ใช่ร้องขอให้ตัวแทน ไม่ใช่ร้องขอให้ผู้มีอำนาจหรือผู้มีบารมีมาช่วยหาหรือสร้างประชาธิปไตยให้
แต่เป็นการต่อสู้ของพวกเขากันเองเป็นครั้งแรก
ทีนี้ถ้าเรามองกลับไป
ทำไมการเข้ามาของประชาชนจากหัวเมืองจากต่างจังหวัด
คนที่เคยเป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของกรุงเทพฯ กรุงสยาม จึงมีความสำคัญ
ประวัติศาสตร์ไทยนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างขนาดใหญ่ที่เปลี่ยนจากระบอบเดิมที่เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบใหม่นั้น
จริง ๆ เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มีการปฏิรูปประเทศเป็นการใหญ่ และที่สำคัญคือการรวมศูนย์อำนาจการปกครองเป็นครั้งแรก
ซึ่งเป็นการลดทอนอิทธิพลอำนาจการปกครองของท้องถิ่นของหัวเมืองชั้นนอกได้แก่ อีสาน ภาคเหนือ
จนถึงภาคใต้ ปัตตานีทั้งหมด ก็เกิดการต่อต้านจากหัวเมืองทั้งประเทศ เกิดกบฏ ตั้งแต่กบฏไพร่
กบฏแพร่ที่เมืองแพร่ กบฏเงี้ยว และกบฏผีบุญที่อีสาน และกบฏพญาแขกปัตตานี 7
หัวเมือง อันนี้คือเหตุการณ์ในยุครัชกาลที่ 5
สิ่งสำคัญก็คือว่า
การลุกขึ้นต่อสู้ครั้งแรกนั้นประชาชนถูกปราบ กองกำลังจากศูนย์กลางจากกรุงเทพฯ
พุ่งตรงไปสู่หัวเมืองทุกที่ จากเหนือ จากอีสาน ลงไปถึงภาคใต้
เพราะฉะนั้นถ้ามองจากประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวการต่อสู้นั้นประชาชนถูกปราบจากศูนย์กลางตลอดเวลา
ประชาชนหัวเมืองอย่างดีที่สุดก็แค่ประท้วงส่งเสียงมา
แล้วก็ถูกกองกำลังส่วนกลางออกไปปราบเขาด้วยเครื่องมือที่เหนือกว่าทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นตรงนี้คือประเด็นที่ผมอยากจะเน้นความสำคัญว่า
ผมคิดว่าการเคลื่อนขบวนของเสื่อแดงปี 53 เป็นครั้งแรกที่ประชาชนจำนวนมากเป็นแสนคนที่เดินทัพเดินทางเข้ามาด้วยรถ
ด้วยเรือ ด้วยเท้า ด้วยจักรยาน ด้วยทุกอย่างเท่าที่จะมาได้
มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพมหานครเป็นขบวนยาวเหยียดหลายวัน แล้วก็ตั้งหลักในการประท้วง
เรียกร้องสิทธิในการเมืองอันสมบูรณ์ของเขาขึ้นมา
เป็นครั้งแรกที่ประชาชนจากหัวเมืองเดินทางเข้ามาล้อมกรุงเทพฯ
แล้วก็ดำเนินการต่อสู้เรียกร้องอย่างสันติด้วยสองมือ ด้วยสติปัญญา
ด้วยความสามัคคีของประชาชนกันเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้นตำนานการต่อสู้นี้มันถูกเขียนไว้หลายที่หลายแห่ง
มันจะไม่เลือนหายไป มันจะอยู่ต่อไป
แต่ที่สำคัญก็คือการเข้ามาของประชาชนที่มีเจตจำนงทางการเมืองที่แน่นอน
ที่ต้องการอิสระเสรีภาพของเขา ความเสมอภาค ความเท่าเทียมและความยุติธรรม
มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย และผมยังคิดว่าต่อไปก็จะเกิดยากด้วย ฉะนั้นเสื้อแดงปี
53 จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่
หน้าที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนไทยในรอบ 100 ปี
อันนี้ผมคิดว่าจึงเป็นมรดก
เป็นความทรงจำ เป็นประสบการณ์ เป็นบทเรียนที่คนเสื้อแดงปี 53 ต้องรักษา
ต้องถ่ายทอด ต้องผดุงความรับรู้อันนี้ไม่ให้สูญหายไป
และผมคิดว่าดูจากเหตุการณ์ตั้งแต่ปี 53 มาจนถึงปัจจุบันนี้
หลายอย่างก็เริ่มคลี่คลายไปตามแนวทางการต่อสู้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่ทางฝ่ายแกนนำ
หมอเหวง อ.ธิดา ได้ช่วยกันสร้างตั้งแต่โรงเรียนการเมือง การเข้าร่วมขบวนการต่อสู้ต่าง
ๆ ผมคิดว่าทำให้การเคลื่อนไหวในระบอบที่เรียกว่าการเลือกตั้งตามระบอบที่รัฐบาลต้องการให้เกิดขึ้น
ในที่สุดแล้วก็จะได้รับอิทธิพลทางตรงหรือทางอ้อมจากการเคลื่อนไหวต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่ทำให้การเลือกตั้งต่อมา
ซึ่งส่วนใหญ่เราจะพ่ายแพ้ สู้อิทธิพลท้องถิ่น อิทธิพลเมืองหลวงไม่ได้
เรารู้ว่าการเลือกตั้งนั้นไม่เคยบริสุทธิ์และยุติธรรม มันถูกจัดตั้ง
มันถูกทำให้เป็นไปตามคำสั่งของผู้มีอำนาจตลอดเวลา
จนกระทั่งการเลือกตั้ง
2 ครั้งหลังนี้
ที่เราเริ่มเห็นว่ามีพรรคการเมืองที่เข้ามาสืบทอดเจตนารมณ์อุดมการณ์ในการต่อสู้ของคนเสื้อแดงเกิดขึ้นมา
ผมไม่ต้องบอกก็ต้องรู้ว่าพรรคอะไรที่ตอนนี้มวลชนเสื้อแดงกำลังให้การสนับสนุนอย่างเต็มใจอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น อันนี้คืออานิสงส์ของการต่อสู้ ถึงแม้ว่าเราจะถูกปราบ เสียชีวิต 99
ศพอย่างน้อย
แต่ว่าผลพวงที่สร้างสถาบันทางการเมืองที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างสันติ
อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถึงแม้ว่าทางฝ่ายรัฐเป็นคนร่างกฎเกณฑ์ก็ตามเพื่อเขาได้เปรียบ
แต่ว่าเมื่อประชาชนจำนวนล้านที่ออกมา เราสามารถที่จะสร้างชัยชนะของพรรคการเมืองของประชาชนขึ้นมาได้เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเลือกตั้งที่ปลอม
ๆ มาตลอด
เพราะฉะนั้น
อันนี้คือความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของการต่อสู้ของคนเสื้อแดง
ซึ่งหมอเหวงและอาจารย์ธิดามีส่วนอย่างยิ่งในการเมือง ซึ่งผมก็ติดตามและรับฟังมาตลอดว่าสิ่งที่แกนนำเหล่านี้ได้ทำขึ้นมาไม่สูญหาย
ผมคิดว่าเป็นดอกผลที่ทำให้การต่อสู้ของคนเสื้อแดงจะดำรงต่อไปในประวัติศาสตร์
เราไม่มีเวลามาก จะขออนุญาตสรุปการพูดวันนี้เพียงเท่านี้ว่า
“ขอให้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ของประชาชนยั่งยืนสถาพรต่อไป ขอให้ชัยชนะของประชาธิปไตยของประชาชนจงมาถึงในวันหนึ่งข้างหน้า”
ขอบคุณครับ