“เพื่อไทย” ประกาศจัดงานใหญ่ “10 เดือนที่ไม่รอ
ทำต่อให้เต็ม 10” สรุปผลงานรัฐบาลเศรษฐา 3 พ.ค. นี้ พร้อมเปิดตัวผู้สมัคร อบจ. ฉายภาพประเทศไทยปี 70
วันที่
29 เมษายน 2567 เวลา 10.00 น.ที่ พรรคเพื่อไทย
นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ทพญ.ศรีญาดา
ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรค น.ส. ขัตติยา สวัสดิผล
สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรค นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ
และรองโฆษกพรรค ร่วมแถลงข่าวเตรียมจัดงาน “10 เดือนที่ไม่รอ
ทำต่อ ให้เต็ม 10” ในวันศุกร์ที่ 3 พ.ค. 2567
โดยนายสรวงศ์
กล่าวว่า นับตั้งแต่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เข้ารับตำแหน่ง จากวันวันที่ 1 ก.ย. 2566
จนถึงวันนี้ นับเป็นเวลา 242 วัน เกือบ 9
เดือนและกำลังเดินหน้าสู่เดือนที่ 10 ที่พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ไม่รอให้ สว.หมดวาระ ในเดือนพ.ค. 2567 หากเรารอ ปัญหาต่าง ๆ และความสำเร็จที่ทยอยออกดอกผลวันนี้ คงไม่เกิดขึ้น
ทั้งหมดคือที่มาของการจัดงานในวันที่ 3 พ.ค. 2567 นี้
นอกจากนี้
ภายในงานจะมีการเปิดวิสัยทัศน์นายเศรษฐา ทวีสิน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมวิสัยทัศน์ในนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย เช่น น.ส.จิราพร
สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง
รวมทั้งเปิดตัวผู้สมัคร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ในนามของพรรคเพื่อไทยส่วนหนึ่ง
เพื่อประกาศความพร้อม และความสำเร็จในการทำงานที่ผ่านมาของนายก
อบจ.ในนามของพรรคเพื่อไทยในสมัยที่ผ่านมา
ที่เคยได้รับความไว้วางใจและตอบสนองต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี
พร้อมทั้งจะมีการเปิดตัว PheuThai
Party Academy อย่างไม่เป็นทางการอีกด้วย
“10
เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10 เพราะเวลาคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด
เวลาคือค่าใช้จ่ายราคาแพง เพื่อไทยทำงานแข่งกับเวลา ใช้ทุกวินาที
ทุกนาทีให้คุ้มค่า พร้อมทำงาน เติมทุกนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ให้เต็ม 10” นายสรวงศ์ กล่าว
ด้านทพญ.ศรีญาดา
กล่าวว่า ประเด็นหลักภายในงานจะมีการบอกเล่าถึงโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่
ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ที่เราได้ประกาศหาเสียงเอาไว้
นำร่องใน 4 จังหวัดแรกสำเร็จ เป็นของขวัญปีใหม่ปี 2567
ให้กับประชาชนได้ การย้ายโรงพยาบาลที่ไม่จำเป็นต้องซักประวัติใหม่
ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ สร้างความลำบากให้ประชาชน ก้าวที่เรากำลังเดินไปไม่เคยหยุด และก้าวต่อไปของนโยบายนี้
เราจะเดินให้ไวและไกลกว่าเดิม เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับความสะดวก
ลดต้นทุนในการรักษา ที่สำคัญคือค่าเดินทางให้มากที่สุด
อีกเรื่องที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ
ซอฟต์พาวเวอร์เป็นนโยบายสำคัญที่จะเปลี่ยนการสร้างรายได้ของประเทศ สู่ภาคเศรษฐกิจจากวัฒนธรรมสร้างสรรค์
เป็นนโยบายที่เราทำก่อนหาเสียง และเราทำจริง และจะทำอย่างเป็นระบบ
ด้วยการออกกฎหมายฉบับใหม่ สร้างองค์กรและองค์ความรู้รองรับ
เพื่อให้ซอฟต์พาวเวอร์สร้างรายได้ให้กับประชาชนในระยะยาวและยั่งยืน
ขณะที่
น.ส.ขัตติยา กล่าวว่า รัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การนำของนายเศรษฐา
จะใช้เวลาทุกวินาทีในการบริหารประเทศอย่างคุ้มค่าที่สุด
และจะเดินหน้าผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนตามที่สัญญากับพี่น้องประชาชนเอาไว้ให้ได้
ภารกิจผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
เป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้ให้ไว้กับประชาชน โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรก
ที่ประชุม ครม.
ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ
ซึ่งที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง
ตามข้อเสนอของคณะกรรมการโดยมั่นใจว่า
หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเดินหน้าอย่างมียุทธศาสตร์
และได้รับการสนับสนุนจากพลังของพี่น้องประชาชนอย่างท่วมท้น
ก็จะมีโอกาสเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยเกิดขึ้นภายในระยะเวลา 4
ปีของรัฐบาลชุดนี้อย่างแน่นอน
ส่วนนายชนินทร์
กล่าวว่า ในวันที่ 3
พ.ค.2567 จะสรุปผลงานการเดินหน้าเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ซึ่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคมนาคมอย่างเป็นระบบ
เป็นวิสัยทัศน์ของพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ในอดีต
และได้เริ่มอย่างเป็นรูปธรรมแล้วในสมัยรัฐบาลนี้ โดยใน 10 เดือนนี้
เราได้ประกาศจุดยืนเพื่อ Logistic Hub ที่สำคัญของเอเชีย
เดินหน้าเชื่อมต่อการขนส่งผ่านระบบ รถ-เรือ-ราง และรันเวย์
ผ่านการเดินหน้ารถไฟความเร็วสูง เร่งรัดโครงข่ายรถไฟรางคู่
ขยายท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง และเสริมศักยภาพสนามบินนานาชาติทั้ง 4 แห่ง เพื่อเร่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ส่งเสริมการขนส่งสินค้า
และการเดินทางระหว่างเมืองของประชาชน
พร้อมกับความสำเร็จของการนำร่องโครงการรถไฟฟ้า 20บาทตลอดสาย
และการเดินหน้าไปถึงเป้าหมายทุกเส้นทางในปี
2568 เพื่อลดค่าครองชีพให้ประชาชน รวมถึงการแสวงหาความร่วมมือทุกทาง
เดินหน้าโครงการเติมเงิน 10,000 บานผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล
ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญของการรดน้ำหน้าบ้านทุกครัวเรือน กระตุ้นกำลังซื้อ
กระตุ้นการลงทุน ให้เศรษฐกิจฐานรากโตทุกชุมชน วางรากฐานประเทศไปสู่ Digitall
economy และคืนศักดิ์ศรีประเทศไทยในเวทีโลกได้อีกครั้ง