วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2567

ศาลสั่งจำคุก 3 ปี “ลลิตา” คดีม.112 กรณีโพสต์คลิป TikTok วิจารณ์นโยบายจัดการโควิด-19 การใช้ภาษีประชาชน โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี

 


ศาลสั่งจำคุก 3 ปี “ลลิตา” คดีม.112 กรณีโพสต์คลิป TikTok วิจารณ์นโยบายจัดการโควิด-19 การใช้ภาษีประชาชน โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี

 

วันนี้ (29 มกราคม 2567) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานผ่าน X ระบุว่า ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เวลาประมาณ 10.00 น. ศาลอาญาพิพากษา จำคุก 3 ปี กับ “ลลิตา มีสุข” ในคดีมาตรา 112

 

ในคดีนี้ ลลิตาให้การรับสารภาพ กรณีถูกฟ้องว่าโพสต์คลิป TikTok วิจารณ์นโยบายจัดการโควิด-19 การใช้ภาษีประชาชน และถูกกล่าวหาว่ามีการพาดพิงถึงกษัตริย์

 

อย่างไรก็ตาม โทษจำคุก 3 ปีดังกล่าวศาลให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี เนื่องจากเห็นว่าได้สำนึกในการกระทำแล้ว

 

สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2565 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ลลิตา มีสุข ชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดฐาน “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง” ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ) มาตรา 14 (3) โดยลลิตา มีสุข ประชาชนชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ ถูกอภิวัฒน์ ขันทอง ในฐานะประธาน คตส.ตามคำสั่งนายกฯ เข้าแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีในฐานความผิด “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ​ กรณีโพสต์คลิปวิดีโอสั้นใน TikTok วิจารณ์การใช้ภาษีประชาชน เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2564 ซึ่งเธอยืนยันว่า มีเจตนาเพียงวิจารณ์รัฐบาลเท่านั้น

 

โดยหลังจากอัยการยื่นฟ้อง โดยไม่คัดค้านการปล่อยชั่วคราว ศาลได้รับฟ้องและอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยในชั้นพิจารณา โดยให้วางหลักทรัพย์ประกันเป็นเงิน 200,000 บาท เป็นเงินจากกองทุนราษฎรประสงค์ ศาลยังได้กำหนดเงื่อนไข “ห้ามจำเลยกระทำการใด ๆ อันมีลักษณะเดียวกันกับที่ถูกฟ้อง ห้ามโพสต์ข้อความหรือกระทำการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย หรือเป็นการเสื่อมเสีย ด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ และห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล”

 

ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะถึงวันฟังคำพิพากษาวันนี้ ลลิตาได้ไปร่วมพูดคุยวงสนทนา Stand Together 4 เดินหน้านิรโทษกรรม ยุติการดำเนินคดีทางการเมืองกับประชาชน ที่จัดโดย iLaw โดยช่วงหนึ่งของการเสวนา ลลิตาเล่าว่า เธอเป็นคนที่ใช้ชีวิตทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมาตั้งแต่เด็กจนทำให้ได้เห็นความเหลื่อมล้ำระหว่างสองแห่ง แม้คนในกรุงเทพฯ จะรู้สึกว่าหลายสิ่งในเมืองมีปัญหาแต่ก็ยังห่างไกลจากความเหลื่อมล้ำที่เธอพบเจอมาจากต่างจังหวัด ความไม่เท่าเทียมเหล่านี้ทำให้ลลิตาพยายามสื่อสารมาตลอดตั้งแต่ยังเรียนอยู่มัธยมศึกษา โดยเฉพาะในช่วงความขัดแย้งระหว่างชุมนุมเสื้อสีในกรุงเทพฯ

 

โดยลลิตา ได้กล่าวว่า การทำคลิปวิจารณ์ตอบโต้การออกนโยบายของพรรคพลังประชารัฐและพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้านประชานิยมในโครงการประชารัฐ โดยในคลิปดังกล่าวมีการใช้คำราชาศัพท์ทั้งสิ้นหนึ่งคำจึงถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีมาตรา 112 แม้ว่าเนื้อหาคลิปจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใดก็ตาม เรื่องนี้ลลิตามองว่าเป็นความพยายาม “บิด” ให้การกระทำของเธอผิดตามมาตราดังกล่าวให้ได้ ซึ่งยิ่งสะท้อนปัญหาของการบังคับใช้มาตรา 112

 

ลลิตากล่าวถึง การเลือกที่รับสารภาพในคดีนี้ว่าแต่ละคนมีเงื่อนไขในชีวิตไม่เหมือนกัน การรับสารภาพในคดีมาตรา 112 ไม่ได้เป็นการยอมรับว่ากระทำสิ่งผิดแต่เป็นสภาวะจำยอมที่ต้องทำ อย่างลลิตามองว่าคุณแม่ของเธอกำลังจะหายจากการป่วยอยู่แล้ว หากเธอต้องสู้คดีไปจนสุดทางกระทั่งเข้าเรือนจำนั้นจะเป็นผลเสียมากกว่าดี อีกทั้งการอยู่นอกเรือนจำยังทำให้สามารถส่งเสียงเรียกร้องและต่อสู้ทางการเมืองต่อไปได้เรื่อย ๆ อีกด้วย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ม112