วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2566

“ศุภโชติ” ย้ำงานใหญ่รัฐบาล จัดการปัญหาค่าไฟที่โครงสร้าง เรียกร้องนายกฯ ใช้อำนาจประธาน กพช. ทบทวนมติเซ็นสัญญาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ส่อทำต้นทุนค่าไฟคนไทยพุ่งอีก


ศุภโชติ” ย้ำงานใหญ่รัฐบาล จัดการปัญหาค่าไฟที่โครงสร้าง เรียกร้องนายกฯ ใช้อำนาจประธาน กพช. ทบทวนมติเซ็นสัญญาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ส่อทำต้นทุนค่าไฟคนไทยพุ่งอีก

 

วันที่ 13 ธันวาคม 2566 ที่รัฐสภา ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการการพลังงาน ซึ่งมีวาระพิจารณาการปรับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (ค่า Ft) ขายปลีก สำหรับเรียกเก็บในงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2567 ว่า มาตรการที่รัฐบาลบอกว่าจะใช้ ไม่ว่าจะเป็น การให้ ปตท. ตรึงราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้ากระแสไฟฟ้า หรือการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยืดหนี้ ทั้งสองอย่างนี้เราเห็นว่าสามารถทำได้ แต่ต้องมีกำหนดเวลาอย่างชัดเจน เพราะจะทำให้หนี้ที่ กฟผ. แบกอยู่กว่า 95,000 ล้านบาทขยายต่อไปอีก ดังนั้นต้องหามาตรการเร่งด่วนเข้ามาแก้ไข ส่วนมาตรการใหม่ที่รัฐบาลพูดถึง คือการนำงบประมาณส่วนกลางกว่า 2,000 ล้านบาท มาใช้ในการชดเชยค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตลอด 4 เดือนในปีหน้า

 

ศุภโชติกล่าวว่า นอกจากนี้เป็นเรื่องน่ายินดีที่รัฐบาลมีการเสนอให้ถัวเฉลี่ยก๊าซธรรมชาติ นี่คือสิ่งที่พรรคก้าวไกลพูดมาตลอดว่ารัฐต้องหยุดนำของแพงมาผลิตกระแสไฟฟ้าให้ประชาชน แล้วนำของถูกไปให้กับกลุ่มปิโตรเคมี โดยจากเมื่อเช้าที่มีการประชุม กมธ.พลังงาน ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ชงเรื่องนี้เข้าสู่การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานแล้ว หวังอย่างยิ่งว่าจะมีการเคาะมติออกมาว่าให้มีการถัวเฉลี่ยเกิดขึ้นจริง เพราะเราเห็นว่าการแก้ไขปัญหาที่โครงสร้าง จะเป็นกระดุมเม็ดแรกในการแก้ปัญหาราคาค่าไฟของประเทศ

 

แต่เท่านั้นยังไม่พอ พรรคก้าวไกลได้เสนอ 2 มาตรการต่อรัฐบาลเพื่อนำไปปรับใช้ อย่างแรกคือการเจรจาแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อลดค่าความพร้อมจ่าย เพราะปัจจุบันรัฐต้องจ่ายปีละเกือบ 100,000 ล้านบาท แต่มีค่าความพร้อมจ่ายส่วนหนึ่งที่จ่ายให้กับกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ก่อสร้างมาแล้วไม่ได้เดินเครื่องปีละเกือบหมื่นล้านบาท ถ้ารัฐมีความพยายามเข้าไปเจรจาแก้ไขเพื่อลดโรงไฟฟ้ากลุ่มนี้ลงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เราเชื่อว่าค่าไฟที่เสนอมา 4.68 บาทต่อหน่วย จะลดลงได้อีก

 

อีกข้อเสนอ พรรคก้าวไกลเรียกร้องให้หยุดหรือทบทวนการเซ็นสัญญาโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนปากแบงที่ประเทศลาว หรือเขื่อนอื่นๆ ที่มีการเซ็นสัญญาไปแล้ว เนื่องจากระยะเวลาการเซ็นสัญญากว่า 30 ปี จะเป็นการผูกขาระบบพลังงานไทยให้ต้องจ่ายอัตราค่าไฟที่ค่อนข้างแพงเมื่อเปรียบเทียบกับเขื่อนอื่นๆ

 

รวมถึงขอให้ทบทวนการเซ็นสัญญาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนกว่า 5,000 เมกะวัตต์ ที่มีระยะเวลาสัญญากว่า 20 ปี ซึ่งศาลปกครองกลางมีข้อคิดเห็นว่ากระบวนการการรับซื้อมีปัญหา ส่อจะทำให้ประเทศเสียผลประโยชน์ เมื่อศาลชี้อย่างนี้แล้ว จึงขอเรียกร้องไปรัฐบาลและนายกฯ ใช้อำนาจในฐานะประธาน กพช. ทบทวนมติและตรวจสอบดูว่าสิ่งที่ศาลให้ความเห็นนั้น เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ไม่เช่นนั้นโรงไฟฟ้าที่เซ็นมาเพิ่ม จะทำให้ต้นทุนค่าไฟของพี่น้องคนไทยขยายขึ้นไปอีก

 

นี่คืองานใหญ่ของรัฐบาลที่ต้องเร่งเข้าไปเจรจาแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้า รวมถึงหยุดการเซ็นสัญญาโรงไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาดูแลเรื่องนี้ และเราจะยืนหยัดตรวจสอบต่อไป” ศุภโชติกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาการประชุม กพช. เพื่อพิจารณาแนวทางปรับลดค่าไฟงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2567 ที่มีนายกฯ เป็นประธาน เดิมทีมงานกระทรวงพลังงานแจ้งว่าจะมีการแถลงข่าวหลังการประชุม แต่ต่อมากลับสั่งยกเลิกแถลงข่าว โดยจะนำข้อสรุปทั้งหมดเข้าที่ประชุม ครม. วันที่ 19 ธันวาคมนี้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล