เปิดคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดี #น้องชมพู่ สั่งจำคุก “ลุงพล” 20 ปี ส่วน “ป้าแต๋น” ยกฟ้อง!
วันนี้
(20 ธันวาคม 2566) ศาลจังหวัดมุกดาหารอ่านคำพิพากษาในคดี
ที่พนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหารเป็นโจทก์ นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา โจทก์ร่วมที่ 1
นายอนามัย วงศ์ศรีชา โจทก์ร่วมที่ 2 ยื่นฟ้อง นายไชย์พล หรือ
พล วิภา จำเลยที่ 1 และนางสาวสมพร หรือ แต๋น หลาบโพธิ์
จำเลยที่ 2
โดยมีโจทก์ร่วมทั้งสองยื่นคำร้องขอเรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่ง
โจทก์ยื่นฟ้องว่า
จำเลยที่ 1 พรากเด็กหญิงชมพู่ อายุ 3 ปีเศษ
ซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากโจทก์ร่วมทั้งสองมารดาและบิดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร
เมื่อระหว่างวันที่ 11 ถึง 13 พฤษภาคม 2563 จำเลยที่ 1 โดยเจตนาฆ่า
นำเด็กหญิงชมพู่ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินเก้าปีไปทอดทิ้ง ณ เขาภูเหล็กไฟ
เพียงลำพังโดยไม่มีอาหารและน้ำดื่มเพื่อให้เด็กหญิงชมพู่พ้นไปเสียจากตน
โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กหญิงชมพู่ถึงแก่ความตาย
และเมื่อระหว่างวันที่ 13 ถึง 14
พฤษภาคม 2563 ภายหลังผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว
ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จ
จำเลยทั้งสองร่วมกันเคลื่อนย้ายศพผู้ตายแล้วถอดเสื้อผ้าและกางเกงออกเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ที่พบศพเข้าใจว่า
ผู้ตายถูกล่วงละเมิดทางเพศและถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย
ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพผู้ตายหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า
จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า
บริเวณที่พบศพเด็กหญิงชมพู่ผู้ตายอยู่บนเขาภูเหล็กไฟ
ห่างจากจุดที่มีคนพบเห็นผู้ตายครั้งสุดท้ายประมาณ 1.5 กิโลเมตร
และเป็นทางลาดชัน
ประกอบกับบริเวณดังกล่าวมีการตรวจพบเส้นผมผู้ตายหลายเส้นที่มีลักษณะถูกตัดด้วยของแข็งมีคม
จึงเชื่อว่าผู้ตายซึ่งมีอายุเพียง 3 ปีเศษ
ไม่สามารถเดินขึ้นไปถึงบริเวณที่พบศพและใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมของตนเองได้แต่ต้องมีคนร้ายพาผู้ตายไป
ปัญหาต่อมาต้องวินิจฉัยว่า
จำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายหรือไม่ เห็นว่า ประการแรก ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 9 นาฬิกา ผู้ตายเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านพักและมีเด็กหญิง ก.
พี่สาวผู้ตายนอนเล่นโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ใกล้เคียง
กระทั่งเวลาประมาณ
9.50 นาฬิกา เด็กหญิง ก. มองหาผู้ตายไม่เห็นจึงออกตามหา ดังนั้น
ผู้ตายต้องหายตัวไปก่อนช่วงเวลาดังกล่าว โดยเด็กหญิง ก.
เบิกความว่าไม่ได้ยินเสียงผู้ตายร้องแต่อย่างใด เชื่อว่า
คนร้ายที่พาผู้ตายไปต้องเป็นญาติหรือบุคคลใกล้ชิดในหมู่บ้านที่ผู้ตายรู้จักดี
เนื่องจากผู้ตายจะร้องไห้หากถูกคนแปลกหน้าอุ้ม
เจ้าพนักงานตำรวจจึงสืบสวนกลุ่มบุคคลดังกล่าว 14 คน
แบ่งเป็นญาติ 12 คน และบุคคลใกล้ชิด 2
คน พบว่า 13 คน
มีหลักฐานยืนยันที่อยู่หรือตำแหน่งอ้างอิงจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ชัดเจน
ยกเว้นจำเลยที่ 1
ซึ่งไม่สามารถยืนยันฐานที่อยู่ได้แน่ชัดในเวลาที่ผู้ตายหายตัวไป
ประการที่สอง
จำเลยที่ 1 ให้การเป็นข้อพิรุธหลายอย่าง อาทิ จำเลยที่ 1
ให้การกับเจ้าพนักงานตำรวจชุดสืบสวนว่าวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 มีนัดไปรับพระ ส. ที่วัดถ้ำภูผาแอก ขณะเดินทางไปวัด จำเลยที่ 2 โทรศัพท์แจ้งจำเลยที่ 1 ว่าผู้ตายหายตัวไป
แต่ครอบครัวของจำเลยทั้งสองมีโทรศัพท์เคลื่อนที่เพียงเครื่องเดียวอยู่กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยที่ 2
จะโทรศัพท์แจ้งเรื่องแก่จำเลยที่ 1 อีกทั้งพระ บ.
ซึ่งจำวัดอยู่ที่วัดถ้ำภูผาแอกเช่นกันยืนยันว่า วันดังกล่าวเวลาประมาณ 10.00 นาฬิกา จำเลยที่ 1 เดินทางไปถึงวัดและพูดกับพระ บ.
ว่า หลานหายเกือบไม่ได้ไปส่งพระ ทั้งที่ในขณะนั้น จำเลยที่ 1
ซึ่งไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ติดตัวต้องยังไม่ทราบเหตุว่าผู้ตายหายตัวไป
ประการที่สาม
พยานโจทก์ปากนาย ว. และนาง พ. ให้การในชั้นสอบสวนว่า พยานเห็นจำเลยที่ 1 อยู่บริเวณสวนยางพาราซึ่งเป็นทางเดินที่สามารถเข้าถึงจุดที่ผู้ตายหายตัวไป
ในช่วงเวลาที่คนร้ายลงมือกระทำความผิด โดยขณะที่มีการสอบสวนเรื่องนี้ จำเลยที่ 1
พยายามไปพูดคุยกับนาย ว. ให้ นาย ว. บอกเจ้าพนักงานตำรวจว่า นาย ว.
พบจำเลยที่ 1
ในช่วงเวลา
7.00 นาฬิกา ไม่ใช่ช่วงเวลา ที่เกิดเหตุ
เพื่อไม่ให้เจ้าพนักงานตำรวจสงสัยจำเลยที่ 1
จึงเป็นข้อพิรุธว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิด
เหตุใดต้องพูดจาในลักษณะดังกล่าวกับพยานที่ให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจตามข้อเท็จจริงที่ตนรู้เห็น
แม้ต่อมาในขณะสืบพยาน นาง พ. จะเบิกความว่า ตนไม่ได้เห็นจำเลยที่ 1 บริเวณสวนยางพารา แต่ก็เป็นการกลับคำภายหลังเกิดเหตุกว่า 2 ปี ซึ่งอาจทำเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1
คำให้การในชั้นสอบสวนของนาง พ. จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งกว่า
ประการสุดท้าย
ภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจตั้งข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย
จึงมีการเข้าตรวจค้นรถยนต์ จำเลยที่ 1 พบเส้นผม 16 เส้น และวัตถุพยานอื่น
โดยผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ประกอบกับคำเบิกความของพยานผู้เชี่ยวชาญปรากฏว่า
เส้นผม 1 เส้น ที่ตกอยู่ในรถยนต์จำเลยที่ 1 มีองศาของรอยตัด หน้าตัด และพื้นผิวด้านข้าง ตรงกันกับเส้นผมผู้ตาย 2 เส้น ซึ่งตรวจเก็บได้จากบริเวณที่พบศพผู้ตาย เส้นผมทั้ง 3 เส้น ดังกล่าว จึงถูกตัดในคราวเดียวกันด้วยวัตถุของแข็งมีคมชนิดเดียวกัน
เชื่อว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมผู้ตาย
แต่ด้วยเหตุที่เส้นผมมีขนาดเล็กมาก จำเลยที่ 1
จึงไม่สังเกตว่ามีเส้นผมผู้ตายเส้นหนึ่งตกอยู่ในรถยนต์ของตน
ทั้งนี้
การสืบสวนสอบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจในคดีนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปยังจำเลยที่ 1
มาแต่แรก
หากเกิดจากการรวบรวมพยานหลักฐานและตั้งข้อสันนิษฐานอย่างเป็นลำดับขั้นตอนดังวินิจฉัยไว้ข้างต้น
โดยไม่ปรากฏว่า
ผู้ที่เกี่ยวข้องคนใดมีสาเหตุโกรธเคืองหรือมูลเหตุชักจูงใจในการใส่ร้ายจำเลยที่ 1 จึงเชื่อว่า จำเลยที่ 1
เป็นคนร้ายที่พาผู้ตายขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ
ปัญหาต่อมาต้องวินิจฉัยว่า
ขณะพาผู้ตายขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ จำเลยที่ 1 รู้หรือไม่ว่า
ผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ร่วมทั้งสองหรือผู้ตายมาก่อน
จึงไม่น่าเชื่อว่า จำเลยที่ 1
มีเจตนาฆ่าหรือเจตนาทอดทิ้งผู้ตาย
ประกอบกับรายงานการตรวจศพผู้ตายพบรอยช้ำใต้หนังศีรษะ บริเวณหน้าผากด้านซ้ายและท้ายทอยเป็นจ้ำ
ๆ จึงอาจเป็นกรณีที่ผู้ตายหมดสติไป ส่วนจำเลยที่ 1
ไม่ได้ตรวจดูให้ดีเลยพาผู้ตายไปทิ้งไว้บนเขาภูเหล็กไฟ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่า
จำเลยทั้งสองร่วมกันเคลื่อนย้ายศพฯ นั้น เห็นว่า
ภายหลังวันเกิดเหตุจนถึงวันที่พบศพผู้ตาย
โจทก์ไม่มีพยานคนใดเบิกความว่าเห็นจำเลยทั้งสองขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ
แม้ผลการตรวจเส้นผม 3 เส้น จากบริเวณที่พบศพผู้ตายมี mtDNA ตรงกับจำเลยที่
2 แต่การตรวจหา mtDNA นั้น
ไม่สามารถใช้ระบุตัวบุคคลได้ เพียงแต่ระบุได้ว่าเป็นเส้นผมของบุคคลที่อยู่ในสายมารดาเดียวกับผู้ตายเท่านั้น
เส้นผมดังกล่าวจึงไม่จำต้องเป็นของจำเลยที่ 2
เพียงผู้เดียวเห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสองในข้อหานี้
พิพากษาว่า
จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 317
วรรคแรก ฐานกระทำ โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา
โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่
1 ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 กับให้จำเลยที่ 1
ชำระค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง
อนึ่ง
คดีนี้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหารตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งว่า
พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีข้อสงสัยตามสมควร
ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 เห็นควรพิพากษายกฟ้อง
จึงให้รวมไว้ในสำนวน
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #น้องชมพู่ #ลุงพล #ป้าแต๋น #บ้านกกกอก