‘พิธา’ ยันไม่ได้ด้อยค่า 100 วันผลงานรัฐบาล
แต่วิเคราะห์อย่างสร้างสรรค์ เอาประชาชนเป็นที่ตั้งเสมอ
กังวลระเบียบราชทัณฑ์คุมขังนอกเรือนจำ “เอื้อคนรวย-สร้างความเหลื่อมล้ำ”
เมื่อวันที่
16 ธันวาคม 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลัง ร่วมวงเสวนา'การเลี้ยงเด็กในโลกปัจจุบัน' ในงานสายไหมแฟร์
ครั้งที่ 1 ณ Peekaboo Café & Playground สายไหม
สำหรับประเด็นที่ได้จัดแถลงข่าววิเคราะห์ผลงานรัฐบาลของนายเศรษฐา
ทวีสิน หลังบริหารราชการแผ่นดินมาครบ 100 วัน เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยยืนยันว่า ไม่ได้โจมตีแต่เป็นการวิเคราะห์
เป็นการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านในฐานะผู้แทนราษฎร
ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่วิเคราะห์ไป
ซึ่งตนเองทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์โดยเอาประชาชนเป็นที่ตั้งเสมอ
และต้องยอมรับว่าที่ผ่านมารัฐบาลช่วยเหลือแรงงานไทยในช่วงวิกฤตอิสราเอล-ฮามาสได้เป็นอย่างดี
การฉีดวัคซีน HPV
1 ล้านโดส ก็ถือเป็นสิ่งที่ดี ตนเองพูดอย่างตรงไปตรงมา
แต่ก็มีอีกหลายเรื่องแม้แต่นายกรัฐมนตรีเองก็ยังมีความกังวล
เช่น
เรื่องค่าไฟและการเพิ่มค่าแรงที่ก็ยังไม่เห็นด้วยและพยายามที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ตนมองว่าการจะเห็นอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เพียงข้อสั่งการ
แต่ต้องลงไปดูในรายละเอียดในกระบวนการว่าถูกต้องหรือไม่ ยกตัวอย่างเรื่องค่าแรงต้องไปดูสูตรการคำนวณของบอร์ดไตรภาคี
จะได้ไม่ต้องเซอร์ไพรส์ต่อหน้านักข่าวอีก
และเป็นการสร้างความมั่นใจให้พี่น้องแรงงานและผู้ประกอบการ
รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน และกฟผ.
ซึ่งไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้บ่อย ๆ กับนายกรัฐมนตรี จึงเตือนรัฐบาลด้วยความหวังดี
ส่วนการให้บอร์ดไตรภาคีกลับไปทบทวนเรื่องค่าแรงขั้นต่ำจะเป็นการแทรกแซงทางการเมืองหรือไม่
นายพิธา กล่าวว่า คงต้องไปดูกฎหมาย เพราะการนำเรื่องชงเข้า ครม.แล้วถอดออก
อาจเกิดความไม่มั่นใจหรือความไม่พอชอบมาพากล ก็เป็นข้อที่น่ากังวล ซึ่งจริง ๆ
แล้วต้องบริหารจัดการให้เสร็จภายใน การพูดคุยว่ากรอบที่เห็นควรจะเป็นอย่างไร
เพราะบางทีไตรภาคีอาจจะดูแค่เฉพาะแรงงานอย่างเดียว
แต่ไม่ได้ดูด้านเศรษฐศาสตร์มหภาค เงินเฟ้อ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ผลิตภาพ ผลิตผล
ซึ่งตนเองไม่ทราบ เพราะตัวคูณอาจไม่ตกผลึก
หากมากเกินไปหรือน้อยเกินไปก็ทำให้ตัวเลขเปอร์เซ็นเปลี่ยนไปเยอะพอสมควร เป็น 2 บาท 3
บาท หรือ 10 บาท
ในพื้นที่ที่ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น
พร้อมยกตัวอย่างรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร ที่เข้าใจว่า มีบางเรื่องที่ต้องยกเว้นเพื่อให้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท
เรื่องนี้ก็คงเป็นลักษณะเดียวกันที่ต้องไปดูในรายละเอียด
สำหรับการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผลงานรัฐบาลนายเศรษฐา
100 วัน ที่พรรคเพื่อไทยออกมาตอบโต้ว่าเหมือนเป็นการด้อยค่า
โดยขอให้รอดูผลงานในระยะยาว เพราะ 3 เดือนแรกเป็นการเข้ามาสางปัญหาจากรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์
จันทร์โอชา นายพิธา ยืนยันว่าไม่ใช่การด้อยค่ารัฐบาล แต่วาระ 100 วันแรก เป็น 100 Day Agenda ในเชิงรัฐศาสตร์เป็นเรื่องปกติของหลาย
ๆ ประธานาธิบดี หลาย ๆ นายกรัฐมนตรี และหลาย ๆ รัฐบาล โดยยกตัวอย่าง
ล่าสุดนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ก็ประกาศ 40 กว่าข้อที่จะทำใน 100
วันแรก การออกมาวิเคราะห์เช่นนี้ถือเป็นเวลาที่เหมาะสมไม่ใช่ 2
สัปดาห์แรกที่ยังไม่มีโอกาสทำอะไร
ตอนนี้ให้เวลาพอสมควรจึงคิดว่ามีความสำคัญ 1-2 ประเด็น คือ
แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นว่าจะรักษาสัญญาก่อนเข้าสู่อำนาจหรือไม่และเป็นแผนงานในการขับเคลื่อนของรัฐบาลยิ่ง
100 วันแรก ที่ยังคงเป็นงบประมาณเดิมอยู่ งบประมาณมีจำกัด
และกฎหมายก็ยังผ่านสภาไม่ได้ ยิ่งต้องมีแผนงานเพราะมีข้อจำกัดเยอะ
จึงเป็นสาเหตุที่ต้องมีวาระ
100 วันแรก
เพื่อบริหารความคาดหวังของประชาชนบริหารความมั่นใจจากประชาชนและเวทีโลกว่าทิศทางในการบริหารราชการแผ่นดินหน้าตาจะเป็นลักษณะอย่างไร
วิสัยทัศน์เป็นอย่างไร และเป้าหมายเป็นอย่างไร รวมถึงแผนในการดำเนินการเป็นอย่างไร
เพราะหากเราเรียกความมั่นใจให้ เพราะเศรษฐกิจเป็นเรื่องความมั่นใจ
จากที่เห็นนายกรัฐมนตรีเดินทางไปหลายประเทศ
เมื่อวาน(15
ธ.ค.)พูดคุยกับนักธุรกิจญี่ปุ่นก็ทำได้ดี
ก็อยากให้ทำแบบเดียวกันกับประชาชนคนไทย
โดยเฉพาะโครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย - อันดามัน
(ชุมพร-ระนอง) หรือ แลนด์บริดจ์
ก็อยากให้กลับมาอธิบายที่สภา
อธิบายประชาชนชาวระนอง ชาวชุมพร
ว่าการศึกษาระหว่างสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และองค์กรต่างๆ มีความแตกต่างกันอย่างไร เพราะเท่าที่เป็นฝ่ายค้าน
ใช้สภาประชุมคณะกรรมาธิการฯ คำตอบที่ได้รับจากฝ่ายเอกชน บริษัทเดินเรือ
ซึ่งตรงข้ามกันกับที่ นายกรัฐมนตรี ไปพูดกับต่างประเทศ
"ไหน ๆ ท่านก็เดินทางไปต่างประเทศบ่อย
อธิบายให้กับนักลงทุนต่างประเทศแล้วก็ต้องอธิบายให้กับคนไทย
เพื่อบริหารความคาดหวังและบริหารความเชื่อมั่นให้กับคนที่อยู่ในประเทศนี้
อยากได้คำตอบจากนายกรัฐมนตรีว่าศึกษาเรื่องนี้แบบใด กี่ครั้ง" นายพิธากล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าในฐานะที่พรรคก้าวไกล
เป็นฝ่ายค้านจะมีการตรวจสอบอย่างเข้มแข็งอย่างไรเกี่ยวกับการบังคับใช้ระเบียบกรมราชทัณฑ์ในการคุมขังนอกเรือนจำ
ที่อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ในกรณี ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น
นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของระบบนิติรัฐ นิติธรรม
มากกว่าการเจาะจงไปที่คนใดคนหนึ่ง ในการที่จะสร้างความสมานฉันท์ ความเท่าเทียม
และปรองดอง ต้องเท่าเทียมกันทั้งระบบ และต้องไม่ยึดติดในเรื่องของบุคคล
มองว่าสิ่วที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้พยายามทำในช่วง 1 เดือน
ที่ผ่านมา เกี่ยวกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
และการเข้าหาผู้ที่เห็นต่างเพื่อให้เกิดการเซ็ทซีโร่การเมืองไทย
ให้เกิดการปรองดองและสมานฉันท์เกิดขึ้นได้จริงในการเมือง
คือการให้มีวัฒนธรรมเสาะหาข้อเท็จจริง
ไม่มีวัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวลและรับผิดรับชอบในเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อให้คนโดนทำร้ายด้วยกฎหมายด้วยเพียงเห็นต่างทางการเมืองสามารถกลับมาเป็นดำเนินชีวิตปกติได้ทุกกรณี
เมื่อถามว่าอยากบอกประชาชนอย่างไรกับประโยคที่ว่า'คุกมีไว้ขังคนจน'
นายพิธา กล่าวว่า เป็นสิ่งที่น่ากังวลใจ
ประเทศที่น่าอยู่ไม่ควรจะเป็นลักษณะแบบนั้น กฎหมายควรที่จะเสมอภาคกับทุกคน
ไม่ว่าจะรวยดีมีจน ซึ่งก็ไม่ใช่แค่กฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ได้อยู่ที่สภา
แต่อยู่ตั้งแต่ต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรม เช่น การปฏิรูปตำรวจ ที่ทางนายรังสิมันต์
โรม สส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล พยายามทำมาโดยตลอด
ซึ่งคิดว่าถ้าหากเราทำได้คงไม่ควรที่จะมีไว้ขังคนที่เห็นต่างทางการเมือง
ควรมีไว้เพื่อให้สังคมสงบสุขและมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นประชาชน ที่ช่วยพัฒนาชาติได้
สำหรับกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมว่าระเบียบของกรมราชทัณฑ์ใหม่
อาจเอื้อให้กับนายทักษิณ นายพิธาได้กล่าวถึง รายงานข่าวของนายชัยชนะ เดชเดโช
ประธานคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ระบุว่าระเบียบนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2563 ก่อนที่นายทักษิณจะกลับมา
ถึงวันนี้หากสิ่งที่สภาฯ
ตรวจสอบแล้วเป็นจริงก็ต้องให้ความเป็นธรรมเพราะเกิดขึ้นก่อน
แต่ถ้าถามว่ามีข้อกังวลหรือไม่ตอบว่ามี
เพราะระเบียบนี้ที่ระบุว่าจะต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่เท่านั้น
ซึ่งถือเป็นการรวมศูนย์ ญาติพี่น้องหรือคนที่ติดอยู่แม้จะผ่านระยะเวลาการได้รับโทษ
1 ใน 3 แล้ว ก็ไม่สามารถที่จะขอร้องได้
พร้อมทั้งมีเงื่อนไขว่าจะต้องมีบ้าน โรงงาน
และสถานที่ราชการเป็นหลักแหล่งในการดูแล ตรงนี้แสดงถึงความเหลื่อมล้ำ
ต้องเป็นกลุ่มคนที่มีฐานะถึงจะมีโอกาสเข้าสู่กระบวนการแบบนี้ได้
นายพิธากล่าวทิ้งท้าย