สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ(UNHCR) ติดตามสถานการณ์สิทธิมนุษยชนพี่น้องสมัชชาคนจน
วันนี้
(23 ตุลาคม 2566) เวลา 16.00 น. นายดิป มาการ์
เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนและหัวหน้าทีมประเทศไทย
สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ UNHCR ลงพื้นที่ชุมนุมของพี่น้องสมัชชาคนจน
บริเวณถนนลูกหลวง ข้างกระทรวงศึกษาธิการ
เพื่อติดตามสถานการณ์สิทธิมนุษยชนตลอดการชุมนุมเจรจาแก้ไขปัญหาร่วม 2 สัปดาห์
ที่ผ่านมา
โดยมีนายไพฑูลย์
สร้อยสด เลขาธิการสมัชชาคนจน ได้พูดถึงข้อกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในช่วงการชุมนุมที่ผ่านมา
โดยเฉพาะพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจนับตั้งแต่วันแรกที่มีการสกัดกั้นการเข้าพื้นที่ชุมนุมเจรจาแก้ไขปัญหา
ทั้ง ๆ ที่ได้มีการแจ้งการชุมนุมไว้แล้ว
ร่วมทั้งพฤติกรรมการคุกคามทางเพศโดยการถ่ายรูปผู้หญิงที่กำลังอาบน้ำในช่วงการชุมนุม
3 วันแรกซึ่งตำรวจเข้ามาใช้รถห้องน้ำร่วมกับชาวบ้าน
อีกทั้งการประกาศห้ามชุมนุมในระยะ
50 เมตรจากทำเนียบรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่ อยู่ห่างและเราได้มีการแจ้งการชุมนุมอย่างเป็นทางการจนเราต้องวัดระยะห่างให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดู
รวมทั้งในการเดินขบวนไปเจรจาแก้ไขปัญหาตามนัดหมายกับผู้แทนรัฐบาลพวกเราก็ถูกตำรวจปิดกั้นทุกครั้งที่เราเดินทางไปเจรจา
ทางเราจึงยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) และเสนอให้ยกเลิก พรบ.ชุมนุม
เพราะตำรวจผลักดันกฎหมายนี้แต่กลับเป็นผู้ละเมิดกฎหมายนี้เสียเอง
ในส่วนของการเจรจาแก้ไขปัญหากับรัฐบาลถึงวันนี้
เรามีเรื่องเจรจาที่ยังไม่ได้ข้อยุติอีกประมาณ 5-7 เรื่อง
โดยมีรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้แทนรัฐบาล
ทางสมัชชาคนจนจึงได้ยื่นข้อเสนอพร้อมกรอบการเจรจราการแก้ไขปัญหาระหว่างสมัชชาคนจนกับรัฐบาล
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2566 โดยภายหลังการเปิดเจราเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม นั้น
นับว่าผลการเจรจาเป็นที่ยอมรับได้ในระดับหนึ่ง
และมีการเจรจาอย่างต่อเนื่องตามรายกรณีปัญหากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แต่ยังพบว่ามีปัญหาที่ไม่สามารถเจราจาได้ คือ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงแรงงานที่ยังไม่สามารถเจรจาและไม่ได้รับความรับมือเท่าที่ควรเหมือนกระทรวงอื่นๆ
โดยนัดหมายดำเนินการเจราจาต่อในวันที่ 24 ตุลาที่จะถึงนี้
คุณบารมี
ชัยรัตน์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน
ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าในการเจรจาการแก้ไขปัญหาในกรณีปัญหาที่ยังติดขัดและไม่ได้รับความร่วมมือคือ
กระทรวงทรัพยากรฯ
และกระทรวงแรงงานที่ยังไม่มีความก้าวหน้าเพราะกระทรวงแรงงานเหมือนไม่มีตัวตนในการเจรจรา
หรือกรณีเขื่อนราศีไศล หรือกรณีอื่นๆแม้ว่าจะผ่านไปแล้ว
แต่เราก็ยังไม่มั่นใจว่าผลการเจรรจาเหล่านั้นจะบรรลุผล
เพราะที่ผ่านมาเราเองก็ไม่ได้รับการดูแลอย่างจริงจัง
ส่วนกรณีป่าไม้ที่ดินก็เป็นการเอาที่ดินของชาวบ้านไปทำคาร์บอนเครดิตให้เราปลูกต้นไม้ให้รัฐบาลเอาไปขาย
เมื่อครบกำหนดขายก็จะให้เราออกจากที่ดิน แล้วเราจะไปอยู่ตรงไหน
การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศที่ไม่เป็นธรรม
ส่วนปัญหาด้านเกษตรก็เป็นการละเมิดสิทธิเกษตร
เราจึงเสนอให้รัฐยอมรับและผลักดันปฏิญญาสิทธิเกษตรกรและบุคคลอื่นผู้อยู่ในชนบท
ซึ่ง UN พึ่งรับรองไป จึงอยากฝากไปยัง UN ให้ช่วยผลักดันไปยังรัฐบาลเช่นกัน
หลังจากฟังรายงานจากตัวแทนสมัชชาคนจน
นายดิป มาการ์ เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนและหัวหน้าทีมประเทศไทย สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ได้กล่าว ขอบคุณสมัชชาคนจนและยินดีผลักดันปฏิญญาสิทธิเกษตรกร
ซึ่งไทยได้ลงนามในกฎหมายระหว่างประเทศที่ตรงกับการเรียกร้องของสมัชชาคนจนพอดี
ประเทศไทยมีแผนปฏิบัติการเรื่องเศรฐกิจและมนุษยชน ซึ่งเป็นกรอบที่เราจะทำงานร่วมกันได้
สิ่งที่สมัชชาคนจนทำอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องที่เราอยากให้สมัชชาคนจนช่วยแนะนำเพื่อให้พวกเราได้ร่วมกันผลักดันและสร้างความร่วมมือไปด้วยกัน
ผู้แทน
UNHCR กล่าวต่อว่า
ถ้าหลังจากนี้ยินดีและพร้อมลงพื้นที่ไปเยี่ยมพี่น้องสมัชชาคนจนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
ทั้งนี้คุณบารมี
ชัยรัตน์ ได้กล่าวขอบคุณ UNHCR
ที่จะนำข้อกังวลของสมัชชาคนจนไปร่วมผลักดัน
พร้อมทั้งกล่าวสำทับอีกว่า “เราก็ต้องการกลับบ้านทุกวัน
เพราะข้าวในนาก็ตั้งท้องรอเก็บเกี่ยว แต่การเจรจราก็ยังไม่ได้รับข้อยุติ”
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สมัชชาคนจน