ศาลแขวงปทุมวัน
พิพากษา “ไผ่-ครูใหญ่-แอมป์-ธานี” ผิด “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ - กีดขวางจราจรฯ” เหตุจากการชุมนุมเมื่อ
25ตุลา63
เมื่อวานนี้
(16 ตุลาคม 2566)ที่เพจ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
ได้รายงานว่า เวลา 09.00 น. ศาลแขวงปทุมวันนัดฟังคำพิพากษา ในคดีฝ่าฝืน
พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, กีดขวางทางสาธารณะและการจราจร ของ “ไผ่”
จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (จำเลยที่ 1), “ครูใหญ่” อรรถพล
บัวพัฒน์ (จำเลยที่ 2), “แอมป์” ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา (จำเลยที่
3) และ ธานี สะสม (จำเลยที่ 4) จากกรณีชุมนุมปราศรัยเพื่อขับไล่พลเอกประยุทธ์
จันทร์โอชา ใน #ม็อบ25ตุลา63 บริเวณสี่แยกราชประสงค์
เวลา
11.45 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 710 จำเลยทั้ง 4 คน เดินทางมาศาลพร้อมด้วยทนายความเพื่อฟังคำพิพากษา เมื่อจำเลยมาครบทั้งสี่คนแล้ว
สิริมา วิริยะโพธิ์ชัย ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนออกนั่งอ่านคำพิพากษา
โดยมีใจความสำคัญสรุปได้ว่า
ก่อนเกิดเหตุ
คือในวันที่ 24
ต.ค. 2563 จำเลยที่ 1 ไปร่วมชุมนุมที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
และกล่าวเชิญชวนประชาชนให้มาชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ในวันที่ 25 ต.ค. 2563 ถือได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการชุมนุม ซึ่งต้องแจ้งการชุมนุมก่อนการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24
ชั่วโมง แต่จากคำเบิกความของพยานโจทก์ ไม่ปรากฏว่าได้มีการแจ้งการชุมนุม
นอกจากนี้การชุมนุมในช่วงเวลาดังกล่าวต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันโรค
แต่เมื่อจำเลยที่ 1
ขึ้นปราศรัยก็ไม่ได้แจ้งให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด
อีกทั้งเมื่อจำเลยที่ 1-4 ขึ้นปราศรัยก็ไม่ได้มีการสวมใส่หน้ากากอนามัย
และการชุมนุมไม่ได้มีการเว้นระยะห่าง จึงวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการชุมนุมและไม่ได้จัดให้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
ส่วนจำเลยที่
2 - 4 ถึงแม้ว่าในวันที่ 24 ต.ค. 2563 จะไปชุมนุมที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และปรากฏตัวในที่ชุมนุมในวันที่ 25
ต.ค. 2563 ตามที่จำเลยที่ 1 นัดหมาย รวมถึงยังขึ้นปราศรัยด้วย แต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่า
จำเลยที่ 2-4 พูดนัดหมายให้ไปชุมนุมในเวลาและสถานที่เช่นเดียวกับที่จำเลยที่
1 กล่าว พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอฟังได้แน่ชัดว่า จำเลยที่ 2-4
เป็นผู้จัดการชุมนุม
ส่วนในข้อหากีดขวางทางสาธารณะและกีดขวางการจราจร
เห็นว่า ในเมื่อการชุมนุมไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยที่ 1-4 ที่กีดขวางการจราจร
เป็นการกระทำโดยไม่จำเป็นและไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจร จำเลยที่ 1-4
ยังร่วมกันกระทำการที่เป็นการกีดขวางทางสาธารณะ
จนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัย พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักและปราศจากข้อสงสัยว่า
จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรฯ
และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385
พิพากษาว่า
จำเลยที่ 1
มีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.จราจรฯ
และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ปรับ 5,000 บาท และฐานร่วมกันกระทำการกีดขวางทางสาธารณะและการจราจร
เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกีดขวางทางสาธารณะ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 ซึ่งมีโทษหนักที่สุด ปรับ 5,000
บาท รวมปรับ 10,000 บาท
ส่วนจำเลยที่
2-4 มีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรฯ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 385 ปรับคนละ
5,000 บาท
หลังจากศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสี่คนได้ไปจ่ายค่าปรับด้วยตนเองทันที
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ม็อบ25ตุลา63 #TLHR