วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2566

“ทนายแจม” อภิปรายศาลยุติธรรม งบเบี้ยประชุมเพิ่มขึ้นทุกปี พบเหลื่อมล้ำในสนามสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา ตั้งคำถามกรณีคดี 112 “อานนท์-วารุณี” ไม่ได้ประกัน เทียบคดี “อิทธิพล” ได้ประกัน ทั้งที่เคยมีประวัติหลบหนี

 


ทนายแจม” อภิปรายศาลยุติธรรม งบเบี้ยประชุมเพิ่มขึ้นทุกปี พบเหลื่อมล้ำในสนามสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา ตั้งคำถามกรณีคดี 112 “อานนท์-วารุณี” ไม่ได้ประกัน เทียบคดี “อิทธิพล” ได้ประกัน ทั้งที่เคยมีประวัติหลบหนี

 

วันที่ 11 ตุลาคม 2566 ในการอภิปรายรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานศาลยุติธรรม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 โดยสภาผู้แทนราษฎร ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ได้ร่วมการอภิปราย โดยตั้งคำถามถึงกรณีงบประมาณด้านเบี้ยประชุมที่เพิ่มขึ้นทุกปี และความเหลื่อมล้ำในสนามสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา

 

ศศินันท์ ระบุว่าจากที่ได้อ่านงบการเงินของศาลยุติธรรม พบว่ามีงบประมาณด้านหนึ่งที่น่าตั้งข้อสังเกต นั่นคือค่าใช้จ่ายในการประชุมที่เพิ่มขึ้นกว่า 119 ล้านกว่าบาท ในปี 2565 เป็น 319 ล้านบาท ซึ่งส่วนต่างนี้เมื่อตนเห็นแล้วก็ตกใจ จึงได้ไปสืบค้นข้อมูลย้อนหลังมาตั้งแต่ปี 2561 ก็พบว่าค่าใช้จ่ายในการจ่ายเบี้ยประชุมอยู่เฉลี่ยปีละ 207 ล้านกว่าบาท

 

ซึ่งการจ่ายเบี้ยประชุมของสำนักงานศาลยุติธรรม ก็พบอีกว่ามีการกำหนดกรอบเอาไว้ ประกอบด้วยของประธาน ประมาณ 10,000 บาทต่อครั้ง, องค์ประชุมคนละ 8,000 บาท, ผู้เข้าร่วมคนละ 8,000 บาท, เลขานุการคนละ 6,000 บาท แม้จะมีการกำหนดกรอบเอาไว้แล้ว แต่ตัวเลข 319 ล้านกว่าบาทก็ยังเป็นตัวเลขที่สูง ซึ่งประชาชนอาจตั้งคำถามต่อความสมเหตุสมผล ว่าเป็นไปเพื่อให้ศาลมีความยุติธรรมและเที่ยงธรรมมากขึ้นอย่างไร และในปี 2566 ค่าใช้จ่ายในการประชุมจะขึ้นไปอีกเป็นเท่าไร

 

ศศินันท์ ยังได้อภิปรายต่อถึงประเด็นต่อไป เกี่ยวกับกระบวนการคัดสรรผู้พิพากษา โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำในการสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา โดยระบุว่าในวงการนักศึกษาด้านกฎหมาย เป็นที่ทราบดีว่าช่องทางการเป็นผู้พิพากษาต้องผ่านการสอบ โดยมี 3 สนาม อันประกอบด้วย

 

1) “สนามใหญ่” ที่ผู้สอบต้องสอบผ่านเนติบัณฑิต จบปริญญาตรีด้านกฎหมาย และประกอบอาชีพด้านกฎหมาย 2 ปี

2) “สนามเล็ก” ผู้สอบต้องสอบผ่านเนติบัณฑิต และจบปริญญาโทด้านกฎหมาย และ

3) “สนามจิ๋ว” ผู้สอบต้องสอบผ่านเนติบัณฑิต จบปริญญาโทด้านกฎหมายจากต่างประเทศหลักสูตรไม่น้อยกว่า 2 ปี และประกอบอาชีพด้านกฎหมาย 1 ปี หรือจบปริญญาโทด้านกฎหมายจากต่างประเทศหลักสูตรไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือจบปริญญาเอกด้านกฎหมายมหาวิทยาลัยในไทย

 

ไม่นานมานี้ มีการแชร์ในโลกออนไลน์ ถึงตัวเลขที่น่าตั้งข้อสังเกต ว่าผู้ที่สอบผ่านข้อเขียนสนามจิ๋วในตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาในปี 2561 มีจำนวน 21 คน ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพด้านกฎหมายมา ซึ่งอาจตีความได้ว่าเมื่อเรียนจบแล้วก็เข้าสู่สนามสอบทันที และเมื่อพิจารณาถึงคะแนนสอบของแต่ละสนาม จะพบว่ามีเกณฑ์ที่แตกต่างกัน สนามจิ๋วให้น้ำหนักกับการสอบภาษามากกว่าด้านอื่นๆ สนามใหญ่เน้นด้านกฎหมายมากที่สุด

 

ข้อมูลที่น่าสนใจ คือในปี 2560 การสอบสนามใหญ่มีผู้ผ่านการคัดเลือก 33 จาก 7 พันกว่าคน ถือเป็น 0.47% ของผู้สมัคร ขณะที่สนามจิ๋วในปีเดียวกัน มีผู้ผ่านการคัดเลือก 116 คนจากผู้สมัคร 348 คน ถือเป็น 33.33% ของผู้สมัครทั้งหมด ในปี 2561 อัตราสอบผ่านสนามใหญ่อยู่ที่ 1.76% สนามเล็ก 1.40% สนามจิ๋ว 22.18%

 

ศศินันท์กล่าวต่อไป ว่าจากสถิติจะเห็นได้ว่ามีความเหลื่อมล้ำในการสอบคัดเลือกผู้ช่วยผู้พิพากษา โดยในสนามจิ๋วมีโอกาสมากกว่าสนามอื่นถึง 10 เท่าเป็นอย่างน้อย และสะท้อนให้เห็นว่ามีความเหลื่อมล้ำในการสอบในสนามต่างๆ อยู่จริง ยังไม่นับรวมกับการ “เก็บคดี” ที่ในวงการนักศึกษากฎหมายทราบดีว่าเมื่อจบมาแล้ว ก็อาจไปขอเก็บคดีตามศาล เพื่อให้ได้คดีตามจำนวนที่จะสอบผู้พิพากษาได้ โดยไม่ได้ว่าความจริง แล้วเอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบ เพื่อมาเป็นผู้พิพากษาตัดสินชะตาชีวิตประชาชน

 

ด้วยความเหลื่อมล้ำ ทั้งของกระบวนการสอบคัดเลือก การเก็บคดี สวัสดิการ หรือเบี้ยประชุม จะเห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เวลามีการตัดสินคดีความต่างๆ ก็คือความเหลื่อมล้ำในการตัดสิน ในการให้ประกันตัวในแต่ละคดี

 

เช่น ในคดี มาตรา 112 ของ อานนท์ นำภา จำคุก 4 ปีไม่รอลงอาญา ไม่ให้ประกันตัวทั้งที่ไม่เคยหลบหนีไปไหน, คดี มาตรา 112 ของ วารุณี จำคุก 1 ปี 6 เดือน ไม่ให้ประกันตัว โดยอ้างว่าเป็นความผิดร้ายแรงและเชื่อว่าจะหลบหนี ทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยหลบหนี ขณะเดียวกัน คดีของ อิทธิพล คุณปลื้ม ศาลกลับให้ประกันทั้งที่มีประวัติหลบหนี และยังมีคดีของ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ที่ศาลยกฟ้องคดีฆาตกรรม “บิลลี่” โดยชี้ว่าหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ศาลก็ให้ประกันตัว

 

ศศินันท์กล่าวทิ้งท้าย ว่าทั้งหมดนี้ ตนอยากชี้ให้เห็นว่าด้วยกระบวนการคัดเลือกผู้พิพากษา การใช้งบประมาณต่างๆ สิ่งที่ประชาชนได้มา คุ้มค่ากับสิ่งที่ประชาชนเสียไปแล้วหรือไม่

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #ประชุมสภา