‘พริษฐ์’ ฝาก 2 คำถามถึง ‘เศรษฐา’ ยังยืนยันประชุม
ครม. นัดแรก มีมติเพื่อเดินหน้าจัดประชามติรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่
และคำถามเป็นอย่างไร หลังมติสภาไม่เห็นชอบ ‘ก้าวไกล’ ขอเลื่อนวาระประชามติ รธน.
ขึ้นมาก่อน
วันที่
30 สิงหาคม 2566 พรรคก้าวไกล ได้เสนอให้ที่ประชุมโดยอาศัยข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ข้อ 54 (2) เปลี่ยนระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนฯ
โดยเลื่อนวาระข้อที่ 5.33 ขอให้สภาผู้แทนราษฎรแจ้งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ขึ้นมาพิจารณาเป็นอันดับแรกในวันนี้
โดย
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้เสนอญัตติ
ได้ระบุว่าประเด็นเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในวงกว้างมากขึ้น
โดยเฉพาะในการขับเคลื่อนของภาคประชาชนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ได้รวบรวมรายชื่อประชาชนมาแล้วกว่า
2 แสนรายชื่อ เพื่อเสนอให้จัดประชามติเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
จึงเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องถกประเด็นดังกล่าวในสภาผู้แทนราษฎร
ที่มีตัวแทนจากทุกพรรคการเมืองและทุกชุดความคิด
ด้านพริษฐ์
ได้ให้เหตุผลในการเลื่อนระเบียบวาระ 3 ประการ ประกอบด้วย :
1)
ประเทศของเราควรมีความชัดเจนโดยเร็วเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
- ในมุมหนึ่ง
ประเด็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นประเด็นที่กำลังถูกถกเถียงในสังคมอย่างกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ
แม้ในที่สุดแล้ว กกต. จะมีคำสั่งให้การใช้รายชื่อในระบบออนไลน์ทำไม่ได้
แต่ประชาชนก็มีความตื่นตัวกันเข้าชื่อในกระดาษได้มากถึง 2 แสนรายชื่อภายในไม่กี่วัน
นับเป็นสถิติใหม่ในการล่ารายชื่อของภาคประชาชน
แต่ในเมื่อกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาจต้องอาศัยเวลากว่า 2 ปี การมีความชัดเจนโดยเร็วว่าประเทศจะเดินหน้าในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่อย่างไร
จึงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
2)
ความชัดเจนดังกล่าวไม่ควรเป็นการรอคณะรัฐมนตรีฝ่ายเดียว เพราะไม่ว่า
ครม. จะตัดสินใจเมื่อไหร่อย่างไร การพิจารณาประเด็นดังกล่าวในพื้นที่ของสภาฯ
ยังคงมีความหมาย
-
หาก ครม. มีความเสี่ยงจะไม่ได้ข้อสรุปโดยเร็วในการประชุม ครม.
นัดแรก ก็เป็นเหตุผลให้ควรใช้กลไกในสภาฯ ดำเนินการคู่ขนาน ตาม พ.ร.บ. ประชามติ
มาตรา 9(4)
-
แต่หาก ครม. มีความตั้งใจเดินหน้าหาข้อสรุปโดยเร็ว
ยิ่งเป็นเหตุต้องให้ถกประเด็นนี้ในสภาตั้งแต่วันนี้ เพราะปีศาจอยู่ในรายละเอียด
และรายละเอียดที่จะกำหนดชะตากรรมหรือหน้าตาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อยู่ที่คำถามประชามติ
ดังนั้นจึงควรต้องใช้พื้นที่สภาฯที่มีตัวแทนทุกชุดความคิด
มาถกกันก่อนถึงข้อเสนอต่างๆเรื่องคำถามประชามติ และข้อดี-ข้อเสีย ของแต่ละทางเลือก
ก่อนที่ ครม. จะตัดสินใจ
3)
การพิจารณาญัตติดังกล่าวไม่ควรจะรบกวนเวลาของสภาฯ มากเกินไป
เพราะไม่ได้เป็นญัตติที่เสนอคำถามประชามติใหม่
แต่เป็นญัตติที่เสนอคำถามประชามติที่หลายพรรคการเมืองเคยเห็นชอบไปแล้วเมื่อไม่ถึงปีที่แล้ว
ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2565 ญัตติดังกล่าวถูกเสนอโดย
2 พรรค คือพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย และเมื่อมีการลงมติ
ก็ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นเอกฉันท์ โดยในบรรดา 324 สส. ที่เห็นชอบต่างก็มาจากทุกพรรคการเมืองหลักจากสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้ว
ซึ่งมีหลายท่านที่นั่งอยู่ในที่ประชุมวันนี้ด้วย พรรคการเมืองและ สส.
ส่วนใหญ่คงจะใช้เวลาไม่นานมากในการพิจารณาญัตติดังกล่าว
เพื่อยืนยันจุดยืนเดิมที่ตัวเองได้เคยลงมติไว้
ทางด้าน
ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ขอใช้สิทธิพาดพิง
ในฐานะที่ได้รับหน้าที่ผู้ประสานงานของพรรคก้าวไกล
โดยระบุว่าสัปดาห์ก่อนหน้านี้ตนอยู่ในห้องประชุม เดินไปคุยกับทุกพรรคการเมืองถึงเรื่องนี้แล้ว
ดังนั้น
ที่อ้างว่าไม่มีการพูดคุยตกลงกันมาก่อนนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้ตนและพรรคก้าวไกลเสียหาย
ทั้งนี้ ตนเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลงมติในเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
และเรื่องนี้จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นหากเพียงพรรคเพื่อไทยรวมกับพรรคก้าวไกลทำสิ่งเดียวกันกับที่เราเคยทำเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาในสภาฯ
สมัยที่ 25
จากนั้น
ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นใช้สิทธิพาดพิง
ระบุว่าเรื่องของพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลนั้น วันนี้เป็นคนละเวลา คนละเหตุการณ์
แต่ก็อย่าคิดว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ทำอะไร เพราะเมื่อวานนี้ในการประชุมพรรค
นายกรัฐมนตรีบอกแล้วว่าไม่เกินสองสัปดาห์จะมีการพูดคุยเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญที่ประชาชนถกเถียงกันอยู่
แต่ความเดือดร้อนปากท้องของประชาชนสำคัญกว่าการถกเถียงประเด็นสาธารณะทั่วไป
จึงไม่อยากให้หารือกันซ้ำซาก และอย่าพาดพิงถึงพรรคเพื่อไทยอีกเลย
ทั้งนี้
ผลการลงมติว่าจะให้มีการเปลี่ยนระเบียบวาระการประชุมหรือไม่
ได้ตกไปด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 143 และไม่เห็นด้วย 262 เสียง
ต่อมา
พริษฐ์แถลงข่าว ระบุว่าพรรคก้าวไกลน้อมรับผลการลงมติของสภาผู้แทนราษฎร
ในเมื่อวันนี้เราสูญเสียโอกาสในการถกเรื่องประชามติในสภาฯ
จึงเห็นว่ายิ่งมีความจำเป็นที่นายกฯ
คนใหม่และรัฐบาลใหม่จะให้ความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่
จึงมีคำถาม 2
ข้อไปถึงเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี
ที่หลายโอกาสก็ได้พูดถึงความสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
คำถามที่
1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ได้ให้สัญญากับประชาชน
ท่านยังยืนคำเดิมหรือไม่ว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรก จะมีมติ ครม.
ออกมาเพื่อให้มีการจัดประชามติเพื่อเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่
ที่ต้องถามเช่นนี้เพราะแม้นายกฯ เคยออกมายืนยันหลายครั้ง
แต่จากท่าทีและคำอภิปรายทั้งในและนอกสภาฯของ สส. บางคนในพรรคร่วมรัฐบาล
สัมผัสได้ว่ามีบางส่วนที่อาจไม่เห็นด้วยกับการจัดประชามติโดยเร็วเพื่อเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
คำถามที่
2 เรื่องคำถามประชามติ
หากยืนยันว่าจะมีการจัดประชามติเพื่อเดินหน้ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่
คำถามที่ใช้จะเป็นอย่างไร พรรคก้าวไกลมองว่าคำถามเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง
นอกจากต้องกระชับ ตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย ยังควรยืนยัน 2 หลักการสำคัญว่าต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
และร่างโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง 100% เพราะเป้าหมายต้องไม่ใช่แค่การมีรัฐธรรรมนูญฉบับใหม่โดยชื่อ
แต่ต้องเป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ไม่เพียงมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยทั้งในแง่กระบวนการและเนื้อหา
แต่ต้องเป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่สะท้อนฉันทามติใหม่ของสังคม โอบรับความหลากหลาย
ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นได้ ต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่ถูกร่างโดย สสร.
ที่มาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชน 100%
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #ประชามติรัฐธรรมนูญ