วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2566

“อ.ธิดา” เห็นใจ “เพื่อไทย” แต่ไม่เห็นด้วยที่มีพรรค 2 ลุงร่วม ย้ำ! คำว่า "สลายขั้ว" ใช้ไม่ได้กับการต่อสู้ประชาชน


“อ.ธิดา” เห็นใจ “เพื่อไทย” แต่ไม่เห็นด้วยที่มีพรรค 2 ลุงร่วม ย้ำ! คำว่า "สลายขั้ว" ใช้ไม่ได้กับการต่อสู้ประชาชน


[ถอดคำสัมภาษณ์ฉบับเต็ม : สัมภาษณ์โดยไทยรัฐทีวี เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2566]


เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลเพื่อไทยจะมีพรรค 2 ลุงมาร่วมด้วย อาจารย์มองว่ามันจะส่งผลต่อพรรคเพื่อไทยยังไงต่อไปบ้างครับ


ส่งผลมากแน่นอน แล้วจะส่งผลมากอย่างที่ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ ในความคิดของอาจารย์ ผลการเลือกตั้ง 66 มันได้แสดงให้เห็นแล้วว่าประชาชนฝ่ายเสรีประชาธิปไตยจำนวนมาก 70 กว่าเปอร์เซ็น มีความมุ่งมั่นที่จะให้ได้รัฐบาลที่เป็นฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ไล่ลุงออกไป แล้วความเคียดแค้นของประชาชนตั้งแต่มี 2553 มันอาจจะนานและบางคนอาจจะลืม แต่คนเสื้อแดงที่ผ่านการสู้รบและต่อสู้มาเขาไม่ลืม เหมือนภาพที่เราเห็นกันว่าเป็นความเจ็บปวด คนที่อยู่ในสนามด้วยกันถึงจะรู้ เข้าใจ แต่คนที่เป็นเสื้อแดงที่เป็นแฟนคลับ มาทีหลัง แล้วก็ไม่ได้ผ่านการต่อสู้อาจจะคิดอีกแบบหนึ่ง


เพราะฉะนั้นอาจารย์มองว่ามันจะมีผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วก็มันได้แสดงมาแล้วโดยที่ว่าคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทย มันไม่น่าเชื่อว่าแพ้พรรคก้าวไกล ตั้งแต่รอบก่อน อันนั้นอาจารย์คิดว่าจากคำพูดที่ว่าจะเป็นฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ไม่มีลุงเหมือนกัน แบบเดียวกับก้าวไกล ขนาดว่ามาบอกช้า เสียงก็ยังหายไปตั้ง 5 ล้านเลย นี่เป็นความคิดของอาจารย์นะ แล้ว 5 ล้านนี้ไม่ไปไหน ก็ไปอยู่กับพรรคฝ่ายเดียวกัน พรรคก้าวไกลน่าจะเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นเที่ยวนี้อาจารย์ว่ามันจะเป็นการสูญเสียฐานของตัวเองเป็นจำนวนมากครั้งใหญ่ที่สุด จนอาจจะเหมือนกับประมาณประชาธิปัตย์ ก็คือ ธงผู้นำของพรรคฝ่ายเสรีประชาธิปไตย คุณได้สละทิ้งไปแล้ว ก้าวไกลเป็นผู้ถือแล้ว แล้วคุณกลับไปถือธงของผู้นำฝ่ายอนุรักษ์นิยมนะ ตอนนี้ มันไม่ใช่สลายขั้วนะ


ขอโทษคุณอ้วน! (ภูมิธรรม เวชยชัย) เพราะว่าคุณภูมิธรรมใช้คำว่า “สลายขั้ว” เราเข้าใจว่าพรรคเพื่อไทยถูกบีบคั้นอย่างหนักจากระบอบที่มันไม่ใช่ประชาธิปไตย และจากหลาย ๆ เรื่อง ก็จำต้องเป็นรัฐบาล เราเข้าใจ คือคุณอาจจะสลายขั้วของพรรค แต่ว่าขั้วของประชาชนคุณสลายไม่ได้นะ เพราะว่ามันเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อยาวนานมาตั้งแต่ 2475 แล้วก็ไล่มาจนกระทั่งพรรคเพื่อไทยเป็นเหยื่อ แล้วก็ถัดมาเป็นพรรคก้าวไกล นี่หมายถึงยุบพรรคและถูกกระทำ ดังนั้น ถนนสายนี้อยู่ ๆ คุณบอกว่ายกเลิกสลาย มันไม่ได้! คนจำนวนมากเขาไม่สามารถลืมอดีตของการต่อสู้ได้


เพราะฉะนั้น ภารกิจของประชาชนที่ต่อสู้เพื่อให้อำนาจเป็นของประชาชนให้ได้ประชาธิปไตยจริงมันยังดำรงอยู่ สลายไม่ได้! แล้วคุณจะทวงความยุติธรรมได้ยังไง เพราะถ้าคุณมาถือธงฝ่ายอนุรักษ์นิยม อย่างอาจารย์ตั้งคณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 (คปช.53) แล้วจะไปทวงความยุติธรรมจากรัฐบาลนี้ได้ยังไง เพราะผู้กระทำอยู่ในรัฐบาลนี้ คำว่า “สลายขั้ว” จริง ๆ แล้วคือคุณก้าวข้ามไปถือธงอนุรักษ์นิยม นี่พูดด้วยความเข้าใจ เห็นใจ


ในครั้งนี้อาจารย์มองว่าเขายังไม่เข้าใจประชาชนดีพอ ถ้ามองว่าเป็นการสู้รบ ไม่รู้ทั้งเขา ไม่รู้ทั้งเรา นี่อาจารย์ยังมองว่าเป็นเรานะ ไม่รู้ทั้งเขาคือไม่รู้ฝ่ายอนุรักษ์นิยม และไม่รู้ทั้งเราคือฝ่ายประชาชน ซึ่งจริง ๆ มันมีบทเรียนตอนนิรโทษกรรมสุดซอยแล้ว แต่ไม่เชื่อ! อาจารย์บอกแล้วก็ไม่เชื่อ แต่ว่าคนเสื้อแดงไม่ได้ทำให้วุ่นวายในกรณีนั้น ไม่ได้ออกมา รัฐบาลยิ่งลักษณ์มีการปะทะกับฝั่งกปปส. กปปส.นั้นไม่เอานิรโทษเพราะว่าไม่ต้องการนิรโทษให้คุณทักษิณ คนเสื้อแดงยังรักคุณทักษิณ อยากให้กลับบ้าน แต่ไม่แลกกับการที่ว่าคนที่ทำผิดแล้วต้องได้รับโทษ ไม่งั้นมันก็ตายซ้ำตายซาก ทำรัฐประหารซ้ำซากอยู่ตลอด


ความพยายามในการต่อสู้ประชาชนนั้นไม่ไปไหน ยังดำรงอยู่และแรงกล้ามากขึ้นทุกที เพราะฉะนั้น คำว่า “สลายขั้ว” ใช้ไม่ได้กับการต่อสู้ประชาชน ถ้าพูดอย่างนั้นแปลว่าประชาชนเลิกสู้ ยอมแพ้ โอเค เยียวยา จ่ายเงินพอแล้ว อาจารย์ว่าไม่ใช่! เพราะฉะนั้น ฐานของคนเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่มีอุดมการณ์ในการต่อสู้ อาจารย์ว่าจะไม่เหลือ แต่จะยังเหลือคนจำนวนหนึ่งซึ่งยังขึ้นต่อบุคคล ขึ้นต่อพรรค มีความรักต่อบุคคลต่อพรรคมากกว่าอุดมการณ์ในการต่อสู้ คือยอม เพราะฉะนั้นก็คงยังมีเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง คือเขาเห็นใจพรรคเพื่อไทย แต่ในความคิดของอาจารย์นะ คนที่มีอุดมการณ์ในการต่อสู้นะ น่าจะหมด!


ในเหตุผลที่บอกว่า สาเหตุที่ต้องไปจับมือร่วมกับพรรค 2 ลุง เพียงเพราะพรรคก้าวไกลไม่โหวตให้ เหตุผลนี้มันฟังขึ้นมั้ยครับ เพื่อให้ประเทศไทยได้เดินหน้าต่อ


ในมุมของเพื่อไทยก็ต้องถือว่าฟังขึ้น หรือคนที่เห็นใจเพื่อไทย อย่างขนาดอาจารย์นะ ไม่ได้เป็นสมาชิก อาจารย์ก็เห็นใจนะ พูดกันตรง ๆ อาจารย์ก็อยากให้ก้าวไกลยกมือให้เหมือนกัน แต่อาจารย์รู้ว่าก้าวไกลก็ไม่ต้องการเสียสละ มันเป็นการเสียสละมากเกินไป คือไม่เป็นรัฐบาลไม่สำคัญ แต่ต้องกลายเป็นผู้เสียอุดมการณ์ ก้าวไกลก็คงเสียไม่ได้ มันเหมือนเรามีเพื่อน เพื่อนคนหนึ่งก็อ้างอย่างหนึ่ง เพื่อนอีกคนก็อ้างอีกอย่างหนึ่ง เราก็เห็นใจ คือจริง ๆ อาจารย์ต้องการให้จับมือกัน แต่ถามว่าเห็นใจเพื่อไทยมั้ย เห็นใจว่าเขาถูกบีบมาก แต่ว่าการต่อสู้ของประชาชนเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยจริงสำคัญกว่าความรักและไว้ใจเพื่อไทย


ดังนั้น เรื่องนี้เพื่อไทยเขาก็รู้ เขาบอกเขายอมรับแล้วว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะมันอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เพื่อไทยจะได้เป็นรัฐบาล

 

อาจารย์คิดมาก่อนมั้ยว่าสุดท้ายเพื่อไทยจะเลือกแนวทางนี้ และแนวทางนี้สำหรับอาจารย์คิดว่ามันถูกผิดอย่างไร?


คือถ้าเราฟังคนพูดกัน นินทา หรือว่าบางคนที่มีความแค้นพรรคเพื่อไทยเป็นส่วนตัว ก็ไปเอาข่าวมาจากพรรคพลังประชารัฐว่ามีตกลงดีลอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็อาจจะเป็นคุณประวิตรขึ้นมาเป็นนายกฯ แต่อาจารย์มองว่าคุณประวิตรเป็นนายกฯ มันจะเกินไปหรือเปล่า? แต่เขาจะดีลกันหรือเปล่าอันนี้เราไม่รู้


ในความคิดของอาจารย์ เพื่อไทยทำพลาดมาหลายรอบ แล้วบอกตรง ๆ ว่าเราบอกแล้วเขาก็ไม่ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับที่เขาอยากแก้ อาจารย์เสนอมาตั้งแต่ปี 2555 แล้วเพื่อไทยไม่เอา เพื่อไทยจะทำอีกแบบหนึ่ง แล้วก็ไม่เชื่อ ไม่ฟัง แล้วก็บอกว่าไม่เอา แล้วก็มาพูดต่อต้านในกรรมาธิการโดยหมอชลน่านมาว่าไม่เอาฉบับของนปช.ก็คือ เลือกตั้งสสร. แล้วสสร.มาเลือกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ว่าของพรรคเพื่อไทย ตั้งกรรมการเอง แล้วให้สสร.ยกมือ มันคนละอย่างกัน


ในเวลานั้นอาจารย์มองว่าความขัดแย้งระหว่างขั้วของประชาชนที่มีความเชื่อสองอย่างมันดำรงอยู่มาก แล้วขณะนั้นประชาธิปัตย์เสียงเขาก็ไม่ใช่น้อย (บัญชีรายชื่อ 11 ล้าน) แปลว่าฝั่งอนุรักษ์นิยมก็มีคนจำนวนมาก ดังนั้น ถ้าเราไม่ยึดหลักการประชาธิปไตย มันมีโอกาสที่จะเป็นชนวน คือพูดตรง ๆ ว่าเขาหาเรื่องอยู่แล้วเขาก็จะต้องหาเรื่องอยู่อีก ฉะนั้น วิธีแฟร์ ๆ ก็คือเลือกตั้งไปเลย สสร. ทำไปเลย แบบที่เขากำลังจะทำ ซึ่งเดี๋ยวนี้มันยากกว่าเมื่อตอนขอแก้รัฐธรรมนูญปี 50 แล้วรัฐธรรมนูญ 60 นี่เลวกว่ามาก


ตอนรัฐธรรมนูญ (2550) พรรคเพื่อไทยเขาได้เป็นรัฐบาล แล้วภาวะที่มีฝ่ายประชาธิปไตยพรรคเดียว ข้อเสนอของเรามันไม่มีพละกำลังพอเมื่อเทียบกับทางพรรค เมื่อพรรคเขาไม่เชื่อก็ไม่รู้จะทำไง จนกระทั่งมานิรโทษสุดซอยก็เหมือนกัน อาจารย์ก็บอกว่าคนเสื้อแดงยังแค้นปี 2553 แล้วเขามาแก้แค้นโดยการโหวตให้พรรคเพื่อไทย เพราะฉะนั้นคุณยิ่งลักษณ์ก็ชนะถล่มทลายแบบที่ว่าฝ่ายอนุรักษ์ก็ยังมีกำลังอยู่นะ 15.7 ล้านเสียงของพรรคเพื่อไทย 11 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์ แล้วเดี๋ยวนี้พรรคเพื่อไทยเหลือ 10 ล้าน ถามว่าคน 5 ล้านนั้นออกมาโวยวายมั้ย เขาไม่ได้ออกมาโวยวาย เขาไม่ได้ออกมาต่อว่า แต่เราอยู่ในสนามการต่อสู้ เราจับอารมณ์ความรู้สึกประชาชนได้ แล้วเรามองปัญหาความขัดแย้งว่าฝ่ายอนุรักษ์ยังมีพละกำลังทั้งโครงสร้างชั้นบนและในมวลชนพื้นฐานจำนวนหนึ่งด้วย


ดังนั้น มันจะเดินอย่างไรที่จะไม่ทำให้เขาเอาเป็นสาเหตุในการจัดการ (โดยรัฐประหารและโดยกฎหมาย) เพราะฉะนั้นรัฐประหารปี 2557 ก็มา รวมทั้งที่ทุกคนรู้กันอีกเรื่องก็เรื่องเซ็นสัญญากับอัยการของศาลโลก ของ ICC ศาลระหว่างประเทศ ขอให้เขาได้มาสอบสวนเฉพาะกรณีปี 2553 แต่ก็ไม่เซ็น เพราะอาจารย์รู้หัวใจของคนเสื้อแดง ต้องการทวงความยุติธรรม ดังนั้นอันนี้มันก็ต้องดำเนินงาน แล้วพอมาเป็นรัฐบาลอย่างนี้ แล้วจะไปทวงได้ยังไงกับรัฐบาลนี้ มันทำไม่ได้


เราเห็นใจเพื่อน (พรรคเพื่อไทย) นะ เราก็มองในด้านบวกว่าเขาได้พยายามเต็มที่ แต่ว่าเนื่องจากเขาได้คะแนนน้อยที่เขาบอกเขาไม่ได้แลนด์สไลด์ คำถามว่าไม่ได้แลนด์สไลด์ คะแนนน้อยเพราะอะไร? ก็เพราะวางหมากผิด ไปเอาโมเดลแบบไทยรักไทย แล้วที่อาจารย์บอกไม่รู้เขาไม่รู้เราคืออะไร ที่สำคัญคือไม่รู้เรา คุณบอกว่าได้คนละ 1 หมื่นนะ แต่ว่าประชาชนบอกว่าต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศมากกว่า ตรงนี้มันสำคัญ ซึ่งโมเดลของไทยรักไทยนั้นคือแก้เศรษฐกิจ แต่ว่าประชาชนเปลี่ยนไปแล้ว คำว่ารู้เราคือรู้ประชาชน รู้ฐานเสียงของตัวเอง ประชาชนเปลี่ยนไปแล้ว เพราะว่าช่วงนี้ต่อให้เศรษฐกิจมันลำบากยังไง แต่ประชาชนเรียนรู้ว่าการเมืองต้องดีก่อนมันถึงจะทำให้เศรษฐกิจดีได้ คุณจะมีรัฐสวัสดิการหรือคุณจะแก้ความเหลื่อมล้ำก็ต้องแก้โครงสร้างเศรษฐกิจ ทำไมฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังรักษาอำนาจไว้ก็เพราะเขารักษาผลประโยชน์ ถ้าคุณไม่ได้รัฐบาลฝ่ายเสรีประชาธิปไตย มันจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ประชาชนไม่ได้ ตรงนี้ที่อาจารย์ว่าผิดก็คือผิดตั้งแต่วางแผนหาเสียง แล้วก็ตกหลุม คือจริง ๆ ตัวเองก็คงไม่แน่ใจ เพราะฉะนั้นไอ้ที่ว่าไม่มีลุงก็ไม่ได้พูดตั้งแต่ต้น คือถ้าชัดเจนตั้งแต่ต้นเสียงก็จะมาก แต่ว่าไม่ชัดเจนแต่ต้นเพราะว่าอาจจะคิดเอาไว้แล้วว่าในที่สุดมันจะต้องออกมาแบบนี้ แต่ด้วยการกดดันของประชาชน ก็เลยพูด ทีนี้เลยตกหลายหลุมเลย


การวางเป้าหมายทางเศรษฐกิจโดยไม่เข้าใจว่าแต่ต้นประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลง นอกจากนั้นพอรู้ว่าประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงก็คือมาตกหลุมที่ว่ากลายเป็นเสียสัจจะ มันก็เลยผ่านหลุมมาหลายหลุม ก็กลายเป็นว่านอกจากประชาชนส่วนที่ไม่พอใจว่าอยากจะเปลี่ยนทางการเมือง อีกส่วนหนึ่งก็โกรธ มาโกรธเพิ่ม เพราะฉะนั้นมันก็จะเสียซ้ำสอง แต่ว่าถ้าความเชื่อของพรรคเพื่อไทยเขาคิดว่าเขาจะดำเนินการเศรษฐกิจ เช่น จะแจกเงินเลยคนละ 1 หมื่น อาจจะทำให้สงบเสียงไปได้ คือแก้ปัญหาเศรษฐกิจแล้วก็จะทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น ก็เป็นไปได้ส่วนหนึ่ง

 

แต่ในความคิดของอาจารย์นะ อาจารย์คิดว่าคนต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากกว่า ความพยายามที่เขาจะแก้ 1) เรื่องเศรษฐกิจที่เขาคิดว่าถนัด 2) แก้รัฐธรรมนูญ ตามที่เราทราบว่าไปสัญญากับก้าวไกลเพื่อให้ก้าวไกลโหวตยกมือ อาจารย์เห็นด้วยทั้งสองอย่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญอาจารย์ก็เห็นด้วย แก้ไขเศรษฐกิจก็เห็นด้วย แต่แก้ไขรัฐธรรมนูญสำคัญที่สุด เพราะอาจารย์เป็นพวกที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนะเศรษฐกิจมาทีหลัง ถ้าการเมืองไม่ก้าวหน้า เศรษฐกิจไม่มีทางที่จะก้าวหน้าได้ คุณก็จะปะผุไปเรื่อย ๆ โครงสร้างมันไม่อำนวยให้ แต่อยากให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ


อย่างไรก็ตาม ภาพที่ปรากฏต่อประชาชนคือคณะรัฐมนตรีอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นขั้วของฝ่ายผู้กระทำ อาจารย์ว่าก็ยังเหลือแฟนคลับอยู่ส่วนหนึ่ง ในความคิดของอาจารย์ อาจารย์เป็นพวกที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและให้ได้การเมืองก้าวหน้า เศรษฐกิจถึงจะก้าวหน้า คุณจะทำเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า แล้วลดความเหลื่อมล้ำท่ามกลางการเมืองแบบเก่าของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไม่ได้ค่ะ! มันก็เป็นการเล่นละครหลอกก็คือเอามาแจก มันก็ประมาณเหมือนกับคุณประยุทธ์แกก็ทำบัตร ทำไมแกจะไม่ทำ ประยุทธ์ก็ทำ ประวิตรก็ทำ แล้วตอนนี้ถ้าคุณทักษิณทำมันก็ประมาณนั้น มันไม่ต่างกันเพราะว่าโครงสร้างปัญหาที่แท้จริงมันไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง


อาจารย์หวังดีและยังเห็นใจ แต่ไม่เห็นด้วย แต่อาจารย์ถือว่าความผิดพลาดทั้งหมดจะว่าผิดก็ไม่ได้ เพราะคุณทักษิณไม่ได้เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาการเมือง คุณทักษิณเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจแล้วก็ได้คะแนนเสียง เขาก็ทำแบบนี้แหละ แต่ตอนนี้ เวลานี้ประชาชนทนไม่ไหว เพราะประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะฉะนั้นพรรคเพื่อไทยก็คือแบบนี้แหละ แต่คนที่หวังมากก็จะเสียใจ แต่อาจารย์ก็ไม่ได้หวังเท่าไหร่ ก็เสียใจไม่มาก


อาจารย์ช่วยวิเคราะห์อนาคต 4 ปีข้างหน้า “เพื่อไทย” กับ “ก้าวไกล” อาจารย์มองว่าอะไรที่จะทำให้เขาได้รับชัยชนะในอนาคต


โหวตเตอร์เนี่ยแน่นอน ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยมันมากขึ้นทุกวันรวมทั้งนิวโหวตเตอร์ ใครลองไปทำโพลดูก็ได้ว่าปี 2570 จะเลือกพรรคไหน แล้วก็ไปทำโพลหลังจากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล พวกทำโพลไปทำหน่อย รับรองว่าดังแน่ อารมณ์ตอนนี้นะกับเพื่อไทยก็ทำโพลว่าพอเป็นรัฐบาลแล้วดูดีหรือเปล่า เหมือนคุณประยุทธ์แจกบัตรประชารัฐนั่นแหละ


อนาคตก็คือประชาชนนั้นตื่นตัวทางการเมืองและต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ดังนั้นเพื่อไทยจะเสียฐานเสียงนี้ไป แต่เพื่อไทยจะยังมีอยู่ก็เป็นฐานเสียงแบบเดิมก็คือ มีบ้านใหญ่ สส.เขตก็จะเป็นพวกบ้านใหญ่ ครั้งนี้นะ อย่างบุรีรัมย์ สส.เขตเป็นบ้านใหญ่หมด สุพรรณบุรีก็บ้านใหญ่ แปลว่ายังดำรงอยู่ แต่สส.บัญชีรายชื่อ ขอโทษเป็นพรรคก้าวไกล เพราะฉะนั้น แนวโน้มต่อไปก็คือพรรคเพื่อไทยก็จะเหลือฐานเสียงแบบเดียวกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมเดิม คือต้องใช้ระบบอุปถัมภ์ บ้านใหญ่


ตอนนี้เพื่อไทยประมาณว่าเป็นหัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์นิยมไปแล้ว และแม้นจะทำเศรษฐกิจดีอย่างไรก็ทำเศรษฐกิจแบบที่เขาเคยเรียกว่าประชานิยมและเอาอย่างกัน ประชาธิปัตย์ก็เคยทำ พรรคพลังประชารัฐก็ทำ ใคร ๆ ก็ทำได้


ที่อาจารย์บอกว่าถึงแม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะทำให้เศรษฐกิจดีก็ตาม มันจะไม่สามารถช่วยลบภาพตรงนี้ได้หรือ ในอนาคตอีก 4 ปีข้างหน้า


ไม่ได้ ๆ ๆ คนละอย่าง คือลุงตู่แกก็ทำไม่น้อยนะ มีบัตรคนจน บัตรประชารัฐ แล้วก็คนละครึ่ง แจกเยอะเหมือนกัน แต่ถามว่าความรู้สึกคือให้ก็เอา ประชาชนพูดอย่างนั้นนะ ถ้าคนที่ตื่นตัวทางการเมืองเขาก็รับ มันเหมือนกับการสังคมสงเคราะห์ ก็คือมาเยียวยาเหมือนแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่มันไม่ยั่งยืน ถ้าประชาชนต้องการการแก้เศรษฐกิจแบบยั่งยืนต้องแตะโครงสร้าง ต้องจัดการโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองใหม่ที่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่น้ำท่วมก็เอาไปแจก มีปัญหาก็แจกเงิน อันนี้มันแบบสังคมสงเคราะห์ เป็นเรื่องขายผ้าเอาหน้ารอด คือมันเยียวยาเฉพาะหน้า แต่มันไม่ได้แก้ไขปัญหาประเทศอย่างยั่งยืน ฉะนั้นทั้งเยาวชนและคนที่ก้าวหน้าเขารับแต่ว่าเขาก็ไม่ชื่นชมหรอก พรรคเพื่อไทยก็จะกลายเป็นแบบประยุทธ์ ไม่ว่าจะแจกเงินแจกอะไร ก็จะไม่ได้แจกเงินในฐานะผู้ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยและสู้ร่วมกับประชาชนให้ได้เป้าหมายนั้น แต่กลายเป็นร่วมกันอยู่กับผู้รักษาผลประโยชน์ของฝ่ายจารีต ฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่จะสืบทอดอำนาจ พูดง่าย ๆ ว่าคุณเดินข้ามการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยไปแล้ว


ขอโทษนะคุณภูมิธรรม คุณบอกสลายขั้ว ประชาชนยังเหมือนเดิมนะ แต่คุณน่ะไม่เหมือนเดิม คำว่าประชาชนยังเหมือนเดิมก็คือยังเป็นนักต่อสู้ แต่ว่าคุณอาจจะด้อยค่าประชาชน ก็คือคิดเอาว่าความรักและไว้เนื้อเชื่อใจก็คงเหมือนเดิม คุณด้อยค่าประชาชน คุณมองไม่เห็นว่าประชาชนเขาเป็นนักต่อสู้นะ เขาไม่ได้ยึดถือบุคคล เขาไม่ได้ยึดถือพรรคการเมือง แต่เขายึดถือผลประโยชน์เป้าหมายของประชาชนของประเทศชาติเป็นหลัก ตรงนี้แหละที่อาจารย์บอกว่าไม่รู้เขา ไม่รู้เรา ไม่รู้ความอำมหิตของฝ่ายอำมาตย์ และไม่รู้ความสง่างามและเกียรติยศศักดิ์ศรีของประชาชน อาจจะดูเบาเหมือนคนรัก ก็คิดว่าเออน่าไว้ใจเดี๋ยวทำอย่างนั้นอย่างนี้ ความจริงก็คือว่าไม่รู้จักประชาชนที่เป็นฐานเสียงมากพอ


สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มีกลุ่มคนเสื้อแดงออกมาแสดงออกไม่ว่าจะเป็นการเผาเสื้อ การไปประท้วงทางพรรคเพื่อไทย มีการบอกว่าคนที่ออกมาทำแบบนี้ไม่ใช่คนเสื้อแดงจริง ๆ


คนที่พูดว่าไม่ใช่คนเสื้อแดงจริง พวกที่พูดนี่แหละไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่เป็นคนใส่เสื้อสีแดงของพรรคเพื่อไทยที่เพิ่งใช้สัญลักษณ์สีแดงในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านรัฐประหารและต่อต้านเผด็จการตั้งแต่ปี 2549 19 กันยายน มันเป็นสัญลักษณ์ที่เซย์โน ไม่เอารัฐธรรมนูญ 2550 สีแดงไม่ใช่สีของพรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักไทยตอนนั้นสีขาว สีน้ำเงิน อาจารย์ก็ไม่แน่ใจว่าถ้าตอนนี้เผยแพร่ไปมันก็จะเป็นความรู้ของสังคมว่า สัญลักษณ์ของคนเสื้อแดงมันเป็นสัญลักษณ์ที่สู้มาตั้งแต่ 2549 คือ 17 ปีมาแล้ว ไทยรักไทย พลังประชาชน กระทั่งเพื่อไทยยุคของคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้ใช้สีแดงนะ แล้วตอนยุคคุณยิ่งลักษณ์คุณทักษิณบอกให้ถอดเสื้อแดงด้วย แล้วอาจารย์เป็นคนโทรคุยเองเลยบอกคนเสื้อแดงเขาไม่ถอดเสื้อนะ แต่คนที่ไปฟังปราศรัยของพรรคเพื่อไทยใส่สีแดง แล้วจะบอกให้ถอด มันเสื้อของเขา เสื้อตัวเก่า แล้วจะให้เขาถอดเขาก้ไม่ถอด แต่มาตอนนี้คนที่เป็นแฟนคลับซึ่งอาจจะไม่ได้ต่อสู้มาตั้งแต่ต้น ไม่รู้ว่าสีแดงมาจากไหน


ในทัศนะอาจารย์นะ ทางพรรคคงมองแล้วว่าจาก 15 ล้าน ตอนปี 2562 เขาเหลือ 7-8 ล้านนะ แต่มาตอนนี้ 2566 ได้ขึ้นมาเป็น 10 ล้าน เพราะฉะนั้นตอนที่เหลือ 7-8 ล้าน มันหายไปครึ่งหนึ่ง เขาก็มองว่าที่หายไปมันคนเสื้อแดงแหละ ก็เลยเกิดแคมเปญใหม่เป็นว่ามีครอบครัวเพื่อไทย อาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ เอาสีแดงเป็นสัญลักษณ์ก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ว่าจริง ๆ แล้วมันคนละอย่างกับสีแดงของคนเสื้อแดงจริง มันก็เลยทำให้สับสนระหว่างว่าคนเสื้อแดงซึ่งเป็นนักต่อสู้ที่มีอุดมการณ์กับคนเสื้อแดงที่เป็นแฟนคลับ ที่เป็นแฟนคลับก็คือคนที่ใส่เสื้อสีแดง แต่บางคนก็เป็นคู่นะเพราะเราต่อสู้ 2 ขา ขาหนึ่งในวิถีรัฐสภามีพรรคเดียวคือพรรคเพื่อไทย นอกรัฐสภาก็เป็นการต่อสู้นปช.เป็นแกนนำ แล้วการนำของนปช.ก็ไม่ได้เห็นด้วยกันกับพรรคทุกอย่าง สัญลักษณ์ของคนเสื้อแดงรุ่นก่อน อาจจะมีรูปคุณทักษิณ มีรูปคุณยิ่งลักษณ์ใส่เสื้อแดงนะ แต่ว่าสัญลักษณ์ที่สำคัญมันเป็นสัญลักษณ์ตั้งแต่ยุค นปก. ยุคสามเกลอ มาจนกระทั่งสัญลักษณ์นปช. แต่ที่สำคัญคือเนื้อหาสาระว่าเป็นคนเสื้อแดงก็คือนักต่อสู้ แต่ถึงเวลาโหวตก็มาโหวตให้เพื่อไทยที่มีอยู่พรรคเดียว แต่พอมีหลายพรรคก็มีทางเลือก เที่ยวหน้าอาจารย์ว่าจะมีมากกว่าอีกนะ อาจจะมีมากกว่าก้าวไกล และเป็นไปได้ที่คนเสื้อแดงก็อาจจะถูกแบ่ง และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลนะถ้าก้าวไกลโหวตให้ อาจจะมีพรรคใหม่เกิดขึ้นมาและดูว่ามันอาจจะแน่นอนกว่าหรือยังไง เพราะฉะนั้นก้าวไกลก็ไม่อยากเสีย Position ของผู้นำฝ่ายเสรีประชาธิปไตย จริง ๆ อาจารย์เห็นใจเพื่อไทย สู้มากันตั้งนาน แต่ว่าหลายครั้งเขาก็ไม่ฟังเรา เพราะคนที่อยู่ในสนามการต่อสู้และคลุกคลีกับมวลชน อาจารย์เป็นประธานนปช.ตั้งแต่ปี 2553 ปลายปี เดือนธันวาคม จนกระทั่งปี 2557 ก่อนรัฐประหาร 2 เดือนเอง ฉะนั้นอยู่กับประชาชนมาตลอด แต่ว่าไม่ใช่นักปราศรัยชั้นเยี่ยม แต่ทำโรงเรียนการเมืองและสื่ออื่น ๆ ทุกอย่าง ดังนั้นเราเข้าใจอารมณ์ความรู้สึก อาจารย์เข้าใจว่าตอนนี้คุณณัฐวุฒิก็เจ็บปวดอยู่นะ ถ้าถามก็คือเห็นใจ แต่ไม่เห็นด้วย นี่เป็นคำเตือนทุกครั้ง แต่ว่าเพื่อไทยเขาก็ไม่ได้ฟัง ครั้งนี้เขาอาจจะบอกว่าเขาจำเป็น และอาจจะเป็นการเป็นรัฐบาลครั้งสุดท้ายก็ได้ เพราะว่ารอไป 10 เดือน คนที่จะมาเป็นนายกฯ หรือเป็นรัฐบาลสำคัญก็กลายเป็นพรรคก้าวไกลหรือเปล่า ก็มีคนตั้งคำถามแบบนี้เหมือนกัน


แต่อาจารย์ก็พูดอย่างเป็นมิตรก็เห็นใจว่าถูกบีบ แต่ไม่เห็นด้วย เพราะว่าคุณจะกลายเป็นอุปสรรคของการต่อสู้ของประชาชน ไม่ใชแต่เพียงประชาชนไม่เลือก แต่ประชาชนอาจจะมองว่าคุณคืออุปสรรคและปฏิปักษ์ของการต่อสู้ประชาชน เพราะคุณเข้าไปหนุนพวกเผด็จการให้รักษาอำนาจ แล้วทำให้ประชาชนทวงความยุติธรรมไม่ได้


อยากให้กำลังคุณณัฐวุฒิและคุณจาตุรนต์ยังไงครับ


เข้าใจว่าสองคนนี้แม้นเขาจะเป็นพรรคการเมือง มี DNA ของนักการเมืองอยู่จำนวนหนึ่ง แต่เขาก็มี DNA ของนักต่อสู้อยู่ ก็เข้าใจ โดยเฉพาะณัฐวุฒิเขาอยู่ในสนามการต่อสู้ตอนปี 2553 ตลอด ฉะนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดของพี่น้องประชาชนเขาก็ต้องมีความเจ็บปวดเช่นนั้นอยู่ด้วย ก็ไปขายข้าวแกงดีกว่า น่าจะรุ่งกว่า ขายข้าวแกงดีกว่า รุ่งกว่า ขืนพูดไม่ดีเดี๋ยวข้าวแกงขายไม่ได้นะ


ก็เข้าใจกัน เหมือนเพื่อไทย อาจารย์ก็ไม่ได้ถือเขาเป็นศัตรูนะ แต่ว่าวันเวลาและประชาชนจะมองเขาเป็นอย่างนั้นนี่เตือนให้รู้ ไม่ใช่แต่เพียงว่าไม่รักแล้วก็อยู่ห่างกัน แต่มันจะกลายเป็นปฏิปักษ์การต่อสู้ประชาชนไปด้วย


ขอบคุณไทยรัฐทีวี


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คนเสื้อแดง #เพื่อไทย #ตั้งรัฐบาล