“พิธา” นำทีม ส.ส.ก้าวไกล
ยกขบวนรายงานตัว เชื่อ คุยส.ว.เข้าใจ ไม่ติดปมแก้ไข ม.112 ยืนยัน
จุดยืนรักษาสถาบันด้วยการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามกาลเวลา
วันนี้ (27 มิถุนายน 2566) เวลา 09.30 น.
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อและส.ส.แบบแบ่งเขต
ทั้งหมด 151 คน เดินทางมารายงานตัวเข้าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26
ต่อสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ณ อาคารรัฐสภา พร้อมระบุว่า
ในครั้งนี้จำนวนส.ส.ของพรรคก้าวไกลมีมากกว่าตอนเป็นพรรคอนาคตใหม่ถึง 2 เท่า
แต่สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ตัวเลขจำนวนส.ส.
แต่เป็นความตั้งใจที่เราจะทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชน
ซึ่งเหตุผลที่เลือกมาในวันนี้มีหลายสาเหตุ ส่วนหนึ่งเพราะตนเองติดโควิด-19
และเพราะเป็นวันที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ชาติไทย
เนื่องด้วยเป็นวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ ฉบับแรก
อย่างไรก็ตาม สำหรับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของส.ว.ต่อจากนี้
ตนไม่ได้กังวลใจ เพราะแต่ละท่านคงมีดุลยพินิจในการโหวตเลือก
ดังนั้นหากส.ส.ได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของสภา
ส่วนตัวเชื่อว่าส.ว.ก็คงจะโหวตให้ตามมติที่มาจากประชาชน
จึงเชื่อว่าหากส.ว.ยึดหลักการให้มั่น ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องกังวล
พร้อมยืนยันว่าที่ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล
เคยเปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเจรจากับส.ว.เป็นความจริง
แต่คงมีส.ว.เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีโอกาสได้พูดคุยกับสื่อมวลชน
ดังนั้นขอให้รอเวลาไปก่อน
เมื่อถามว่า
ความคืบหน้าในการเจรจากับส.ว.นี้ ตีเป็นตัวเลขส.ว.จำนวนกี่คน นายพิธา กล่าวว่า
เพียงพอสำหรับโหวตให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน ซึ่งเรื่องที่พูดคุยกับส.ว.นั้น
ก็มีด้วยกันหลายประเด็นที่เป็นข้อกังวลใจ
จึงได้เน้นย้ำให้ส.ว.ส่วนใหญ่ยึดหลักการโหวตนายกรัฐมนตรีแบบเดียวกับปี 2562
กล่าวคือหากสภาผู้แทนราษฎรรวมเสียงข้างมากได้ก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องฝืนมติของประชาชน
อย่างไรก็ตาม นายพิธา
ไม่ได้ตอบคำถามว่าได้พูดคุยประเด็นการแก้ไขมาตรา 112 ด้วยหรือไม่ทั้งนี้
เมื่อถามถึงส.ว.ส่วนใหญ่ที่ยังมีปัญหากับนโยบายแก้ไขมาตรา 112 นายพิธา ยืนยันว่า
การแก้ไขมาตรานี้มีการพูดคุยอย่างกว้างขวางในสังรมตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง
และยังถือเป็นทางออกของสังคมไทย
เพราะที่ผ่านมาการใช้มาจราดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการเมือง
รังแกเยาวชนคนเห็นต่าง ไม่เป็นผลดีกับสถาบันใดเลย
“และการจะรักษาสิ่งทีเรารักคือให้มีการแก้ไขตามบริบท
ของสังคมที่เปลี่ยนไป
ดังนั้นเรื่องนี้คงไม่เป็นประเด็นที่ทำให้เส้นทางการจัดตั้งรัฐบาลสะดุดลง
แต่เมื่อมีข้อมูลหลายฝ่ายอาจจะมีการเข้าใจผิด ย้ำว่าแก้ไขคือแก้ไข ไม่ใช่ยกเลิก
และเมื่อได้พูดคุยกับส.ว.ก็เข้าใจกันมากขึ้น ว่าในการรักษาระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประมุขก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับประเทศไทยในยุคที่เปลี่ยนผ่านไปเรื่อย ๆ”
ขณะเดียวกันเมื่อถามต่อว่าเงื่อนไขดังกล่าวจะทำให้ไปไม่ถึงการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่
นายพิธา ระบุว่าหากมีก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล
เพราะเหมือนเป็นการเอาเสียงที่มาจากการเบือกตั้งของประชาชนมาปะทะกับสถาบันโดยตรง
จึงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและอันตรายอย่างยิ่ง
ดังนั้นเราไม่ควรหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง
ส่วนสำหรับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้อัยการสูงสุดพิจารณารับหรือไม่รับคำร้อง
กรณีมีผู้ร้องเรียนให้พรรคก้าวไกลยุติการหาเสียงแก้ไขมาตรา 112 นายพิธา
กล่าวว่าเป็นเรื่องระหว่าง 2 หน่วยงาน ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล
เพราะการแก้ไขเพียงกฎหมายเดียวไม่ใช่การล้มล้างระบอบการปกครอง
จึงเป็นข้อกล่าวหาที่เกินจริงไปมาก
ดังนั้นพรรคก้าวไกลขอยืนยันหลักการว่าเราจะรักษาระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทั้งนี้ นายพิธา
ไม่ได้ตอบคำถามว่าพรรคก้าวไกลยังคงยืนยันว่าตำแหน่งประธานสภาต้องเป็นของพรรคก้าวไกลหรือไม่
แต่ระบุเพียงให้รอการแถลงข่าวร่วมกันระหว่างพรรคก้าวไกล
และพรรคเพื่อไทยในวันพรุ่งนี้ (28 มิ.ย.)
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พิธา #พรรคก้าวไกล #ก้าวไกล