‘เรืองไกร’ เข้ายื่นเอกสารเพิ่มเติมกกต. ปม พิธา
ถือหุ้นไอทีวี พร้อมระบุ การลงนามบันทึกข้อตกลงพรรคร่วมรัฐบาล ส่อผิด ม.28 ยุบ 8 พรรค ยันไม่ใช่เรื่องหวังผลทางการเมือง
ชี้! ไม่ใช่เรื่องสนุกมีเหตุก็ต้องร้อง
วันที่
24 พฤษภาคม 2566 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ
พรรคพลังประชารัฐ เข้ายื่นหนังสือเพิ่มเติมถึงประธาน กกต.
เพื่อขอให้ตรวจสอบเพิ่มเติมว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) โดยระบุว่า
ในวันนี้มีการนำผู้ถือหุ้น 18
ปีย้อนหลังและรายงานประจำปีงบกำไรขาดดุลมายื่นต่อกกต. ซึ่งเป็นหลักฐานให้เห็นว่าบริษัทไอทีวี
เป็นบริษัทมหาชนจำกัด ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน ปี 2535 การปรากฎชื่อและนามสกุล ของนายพิธาโดยไม่มีห้อยท้าย ตามพ.ร.บ.ดังกล่าวให้ถือว่าถูกต้อง
และวัตถุประสงค์หลักของบริษัทไอทีวีหลักมี 4
ข้อที่เกี่ยวข้องกับการทำสื่อมวลชนต่างๆที่ไม่ใช่เฉพาะสื่อไอทีวี
ซึ่งมีรายได้ที่ลดหลั่นกันลงมา
พร้อมกับยังระบุว่านายพิธาในฐานะผู้ถูกร้องก็สามารถแก้ข้อกล่าวหา นอกจากนี้จะยังมีการส่งเอกสารเพิ่มเติมมายังกกต.อีกครั้ง
ทั้ง มติครม. สัญญาไอทีวีกับสปน. และคำพิพากษาศาลปกครอง
นอกตากนี้นายเรืองไกร
ยังยื่นร้องต่อกกต. กรณีการเซ็นMOUจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกลและพรรคร่วม
รวม 8 พรรค โดยระบุว่า การลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
หากขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ระบุไว้ว่า ส.ส.ต้องไม่อยู่ภายใต้อาณัติมอบหมาย
ซึ่งการลงนามในนามหัวหน้าพรรคอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 28
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง โดยตนมองว่าการลงนาม 8 พรรคการเมือง เท่ากับเป็นการยอมรับเงื่อนไขของอีก 7 พรรคที่เหลือ ในการทำกิจกรรมทางการเมือง
ซึ่งขณะนี้พยานหลักฐานครบถ้วนแล้วจึงอยากให้กกต.
พิจารณาว่าเข้าข่ายการกระทำความผิดหรือไม่ พร้อมกับยังระบุอีกว่า
ไม่ใช่เพียงการพิจารณาการกระทำผิดมาตรา 28
ตามพรป.พรรคการเมืองเท่านั้น
โดยจากการดูระเบียบข้อบังคับพรรคของพรรคก้าวไกลยังไม่ปรากฎการให้หัวหน้าพรรคสามารถลงนามในบันทึกข้อตกลงได้
ซึ่งหากดูตรงนี้ประกอบกันหลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าอาจเข้าข่ายการยุบพรรคการเมืองหรือไม่
ตามมาตรา 92(3) พร้อมกับยังระบุว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นข้อต้องห้ามการกระทำของพรรคการเมือง
แต่ท้ายที่สุดก็ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกกต.ว่าเห็นสอดคล้องกับที่ตนเห็นหรือไม่
ขณะเดียวกันนายเรืองไกร
ยังยืนยันว่าหลักฐานต่าง ๆ ที่ได้มานั้น ตนได้มาจากนักการเมืองเป็นผู้ให้มา
และเมื่อตนได้ข้อมูลมาก็ได้กลั่นกรองแล้ว โดยหากวันนี้กกต.รับรอง
แล้วยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ตนจะขอให้นักการเมืองเมื่อมีการประกาศสมาชิกภาพสามารถร้องตรงไปยังศาลรัฐธรรมนูญ
เช่นเดียวกับกรณีการถือหุ้นของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คู่ขนานกับการยื่นร้องต่อกกต. ขณะเดียวกันหากนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี
ตนจะบอกไปยังส.ว. จำนวน 1 ใน 10 สามารถร้องนายกรัฐมนตรีได้
เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ
ทั้งนี้
นายเรืองไกร ยืนยันว่า การยื่นร้องเรียนกกตในวันนี้
ไม่ใช่เงื่อนไขให้ส.ว.โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด
เมือ่มีเหตุให้ตรวจสอบตนก็ร้อง แต่เมื่อร้องแล้วจะใช่หรือไม่ใช่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
ซึ่งตนยืนยันก่อนหน้าพนักงานสอบสวนว่าการให้การของตนนั้นเป็นไปตามข้อเท็จจริง
เพราะหากผลให้การเท็จก็ติดคุก ไม่ใช่เรื่องสนุก
ซึ่งหากพบว่าไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้กระทำความผิดตนก็พร้อมที่จะยื่นเรื่องร้องเรียนทันทีหากมีเรื่องต้องร้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่นายเรือนไกรให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
นายวรัญชัย โชคชนะ ได้มายืนถือป้ายประกบวงสัมภาษณ์โดยมีข้อความระบุว่า
ขอให้กำลังใจและสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี
อย่าให้เหมือนสมัครทำกับข้าว และเดินประกบนายเรืองไกรพร้อมตะโกน
ขณะนายเรืองไกรยื่นเรื่องต่อกกต.
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ปมหุ้นไอทีวี #นายกคนที่30 #จัดตั้งรัฐบาล2566