วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

‘เรืองไกร’ เข้ายื่นเอกสารเพิ่มเติมกกต. ปม พิธา ถือหุ้นไอทีวี พร้อมระบุ การลงนามบันทึกข้อตกลงพรรคร่วมรัฐบาล ส่อผิด ม.28 ยุบ 8 พรรค ยันไม่ใช่เรื่องหวังผลทางการเมือง ชี้! ไม่ใช่เรื่องสนุกมีเหตุก็ต้องร้อง

 


เรืองไกร​ เข้ายื่นเอกสารเพิ่มเติมกกต.​ ปม​ พิธา​ ถือหุ้นไอทีวี​ พร้อมระบุ​ การลงนามบันทึกข้อตกลงพรรคร่วมรัฐบาล​ ส่อผิด​ ม.28 ยุบ​ 8 พรรค​ ยันไม่ใช่เรื่องหวังผลทางการเมือง ​ ชี้! ​ไม่ใช่เรื่องสนุกมีเหตุก็ต้องร้อง


วันที่ 24 พฤษภาคม 2566 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เข้ายื่นหนังสือเพิ่มเติมถึงประธาน กกต.​ เพื่อขอให้ตรวจสอบเพิ่มเติมว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) โดยระบุว่า​ ในวันนี้มีการนำผู้ถือหุ้น​ 18 ปีย้อนหลังและรายงานประจำปีงบกำไรขาดดุล​มายื่นต่อกกต.​ ซึ่งเป็นหลักฐานให้เห็นว่าบริษัทไอทีวี​ เป็นบริษัทมหาชนจำกัด​ ตามพระราชบัญญัติ​บริษัทมหาชน​ ปี​ 2535 การปรากฎชื่อและนามสกุล​ ของนายพิธา​โดยไม่มีห้อยท้าย​ ตามพ.ร.บ.ดังกล่าวให้ถือว่าถูกต้อง​ และวัตถุประสงค์​หลักของบริษัทไอทีวี​หลักมี​ 4 ข้อที่เกี่ยวข้องกับการทำสื่อมวลชน​ต่างๆที่ไม่ใช่เฉพาะสื่อไอทีวี​ ซึ่งมีรายได้ที่ลดหลั่นกันลงมา​ พร้อมกับยังระบุว่า​นายพิธาในฐานะผู้ถูกร้องก็สามารถแก้ข้อกล่าวหา​ นอกจากนี้จะยังมีการส่งเอกสารเพิ่มเติมมายังกกต.อีกครั้ง​ ทั้ง​ มติครม.​ สัญญาไอที​วี​กับสปน.​ และคำพิพากษาศาลปกครอง


นอกตากนี้นายเรืองไกร​ ยังยื่นร้องต่อกกต.​ กรณีการเซ็นMOUจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกลและพรรคร่วม​ รวม​ 8 พรรค​ โดยระบุว่า​ การลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว หากขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ระบุไว้ว่า​ ส.ส.ต้องไม่อยู่ภายใต้อาณัติ​มอบหมาย​ ซึ่งการลงนามในนามหัวหน้าพรรค​อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา​ 28  พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง​ โดยตนมองว่าการลงนาม 8 พรรคการเมือง​ เท่ากับเป็นการยอมรับเงื่อนไขของอีก​ 7 พรรคที่เหลือ​ ในการทำกิจกรรมทางการเมือง  ซึ่งขณะนี้พยานหลักฐานครบถ้วนแล้วจึงอยากให้กกต. พิจารณาว่าเข้าข่ายการกระทำความผิดหรือไม่​ พร้อมกับยังระบุอีกว่า ไม่ใช่เพียงการพิจารณาการกระทำผิดมาตรา​ 28​ ตามพรป.พรรคการเมืองเท่านั้น​ โดยจากการดูระเบียบข้อบังคับพรรคของพรรคก้าวไกล​ยังไม่ปรากฎการให้หัวหน้าพรรค​สามารถลงนามในบันทึกข้อตกลงได้​ ซึ่งหากดูตรงนี้ประกอบกันหลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าอาจเข้าข่ายการยุบพรรคการเมืองหรือไม่​ ตามมาตรา​ 92(3) พร้อมกับยังระบุว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นข้อต้องห้ามการกระทำของพรรคการเมือง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกกต.ว่าเห็นสอดคล้องกับที่ตนเห็นหรือไม่


ขณะเดียวกันนายเรืองไกร​ ยังยืนยันว่าหลักฐานต่าง ๆ ที่ได้มานั้น ตนได้มาจากนักการเมืองเป็นผู้ให้มา​ และเมื่อตนได้ข้อมูลมาก็ได้กลั่นกรอง​แล้ว​ โดยหากวันนี้กกต.รับรอง​ แล้วยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ​ ตนจะขอให้นักการเมืองเมื่อมีการประกาศสมาชิกภาพสามารถร้องตรงไปยังศาลรัฐธรรมนูญ​ เช่นเดียวกับกรณีการถือหุ้นของนายศักดิ์​สยาม​ ชิดชอบ​ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม​ คู่ขนานกับการยื่นร้องต่อกกต.​ ขณะเดียวกันหากนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี​ ตนจะบอกไปยังส.ว.​ จำนวน​ 1 ใน​ 10 สามารถร้องนายกรัฐมนตรี​ได้​ เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ​


ทั้งนี้ นายเรืองไกร​ ยืนยันว่า การยื่นร้องเรียนกกตในวันนี้ ไม่ใช่เงื่อนไขให้ส.ว.โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี​แต่อย่างใด​ เมือ่มีเหตุให้ตรวจสอบตนก็ร้อง​ แต่เมื่อร้องแล้วจะใช่หรือไม่ใช่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งตนยืนยันก่อนหน้าพนักงานสอบสวนว่าการให้การของตนนั้นเป็นไปตามข้อเท็จจริง เพราะหากผลให้การเท็จก็ติดคุก ไม่ใช่เรื่องสนุก​ ซึ่งหากพบว่าไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้กระทำความผิดตนก็พร้อมที่จะยื่นเรื่องร้องเรียนทันทีหากมีเรื่องต้องร้อง​


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่นายเรือนไกรให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน นายวรัญชัย​ โชคชนะ​ ได้มายืนถือป้ายประกบ​วงสัมภาษณ์โดยมีข้อความระบุว่า ขอให้กำลังใจและสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี อย่าให้เหมือนสมัครทำกับข้าว​  และเดินประกบนายเรืองไกรพร้อมตะโกน ขณะนายเรืองไกรยื่นเรื่องต่อกกต.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ปมหุ้นไอทีวี #นายกคนที่30 #จัดตั้งรัฐบาล2566