วันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2566

3 แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย ‘ชัยเกษม’ ยืนยันหลักนิติรัฐนิติธรรม เร่งแก้รธน.โดย สสร. สร้างระบบราชการที่มีหัวใจเป็นปชช. / ‘แพทองธาร’ ยกเครื่องเศรษฐกิจใหม่ ดันประเทศไทยเป็น Blockchain Hub แห่งอาเซียน / ‘เศรษฐา’ ประกาศตัวเลขกระเป๋าเงินดิจิทัล ‘10,000 บาท’ กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

 


3 แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย ชัยเกษม’ ยืนยันหลักนิติรัฐนิติธรรม เร่งแก้รธน.โดย สสร. สร้างระบบราชการที่มีหัวใจเป็นปชช. / ‘แพทองธาร ยกเครื่องเศรษฐกิจใหม่ ดันประเทศไทยเป็น Blockchain Hub แห่งอาเซียน / ‘เศรษฐาประกาศตัวเลขกระเป๋าเงินดิจิทัล ‘10,000 บาท’ กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่


วันที่ 17 มีนาคม 2566 นายชัยเกษม นิติสิริ ผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และประธานยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย ขึ้นเวทีงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน ตอน ONE TEAM FOR ALL THAIS : หนึ่งทีม เพื่อไทยทุกคน’ เปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คน จากพรรคเพื่อไทย พร้อมลงรายละเอียดนโยบาย และย้ำหมายเลข 29 ของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งครั้งนี้  ณ ธันเดอร์โดม สเตเดียม อ. ปากเกร็ด จ.นนทบุรี


ชัยเกษม กล่าวบนเวทีประกาศจุดยืนในการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า ตนยังคงยืนยันถึงหลักนิติรัฐและนิติธรรม ในฐานะอดีตข้าราชการ ได้รับการสอนมาเสมอว่า กฎหมายคือเครื่องมือรัฐในการควบคุมการดำเนินกิจกรรมของสังคม อำนวยความสะดวกประชาชน และพัฒนาประเทศชาติ


แต่ 8 ปีที่ผ่านมากฎหมายกลับกลายเป็นเครื่องมือที่รัฐจงใจนำไปใช้อย่างผิดรูป จนกระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว ข้าราชการไม่ได้บริการประชาชนด้วยหัวใจ ไร้ซึ่งมิตรภาพและการมองเห็นประชาชนเป็นผู้เสียภาษี ระบบราชการเอื้อผลประโยชน์ให้คนเพียงไม่กี่กลุ่ม อันเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่เป็นผลพวงจากการยึดอำนาจ ของคณะรัฐประหาร ที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อสืบทอดอำนาจของพรรคพวกตัวเอง และปิดหูปิดตาประชาชนไม่ให้มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ มีแต่เพียงการทำประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญลวงตาของคณะรัฐประหาร


ชัยเกษมให้ความมั่นใจต่อประชาชนว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ขอให้ประชาชนไว้วางใจพรรคเพื่อไทย ทันทีที่ชนะการเลือกตั้ง ได้จัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ


ด้านนโยบาย นาย ชัยเกษม ได้พูดถึงรายละเอียดนโยบาย 3 ประการ ที่จะสร้าง นิติธรรมนิติรัฐดี ส่งเสริมให้เศรษฐกิจดีขึ้น และชีวิตทุกคนที่จะดีตามมา ได้แก่ ทำให้กระบวนการยุติธรรมเท่ากับความยุติธรรม, ปฏิรูประบบราชการทั้งระบบให้กลับมามีหัวใจเป็นประชาชนอีกครั้ง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ


ประการแรก พรรคเพื่อไทยจะ “สร้างกระบวนการยุติธรรมที่ซื้อไม่ได้” และปรับปรุง ยกเลิก กฎหมายที่ล้าหลัง ไม่เอื้อประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ รวมถึงลดขั้นตอนใช้ดุลยพินิจ เพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเป็นธรรมและถ้วนหน้า


ประการที่สอง พรรคเพื่อไทยพร้อม “ปฏิรูประบบราชการท้ังระบบให้กลับมามีหัวใจเป็นประชาชน”โดยการยกระดับหน่วยงานราชการเป็นดิจิตอล ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการรัฐในที่เดียว และสามารถตรวจสอบผ่าน Blockchain ได้อย่างโปร่งใส, เปลี่ยนการชำระค่าธรรมเนียมเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ และใช้ “Central Bank Digital Currency (CBDC)” ในการจัดจ้าง และดำเนินการของภาครัฐ เพื่อป้องกันการใช้เงินสดทุจริตในระบบราชการและยกระดับระบบการเงินของประเทศ รวมถึงสนับสนุนการทำ “Open Government” เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ทุกภาคส่วน


ประการที่สาม พรรคเพื่อไทยขอย้ำจุดยืนที่จะ “แก้ปมแรกของทุกปัญหา ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ” เพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นประโยชน์ และคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ต้องมาจากการเลือกของประชาชน และต้องมีมาตราสำหรับการป้องกันรัฐประหารให้เป็นความผิดฐานเป็นกบฏ ไม่มีกำหนดอายุความ ตามที่พรรคเพื่อไทยเคยได้เสนอไว้ เพื่อให้รัฐธรรมนูญของไทยตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการยึดอำนาจอีก


ชัยเกษม นับถอยหลัง 37 วัน สู่วันเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม นี้ ย้ำถึงเป้าหมายที่อยากเห็นประเทศไทยที่ดีกว่า อยากเห็นอนาคตลูกหลานที่มีความสุข โปรดเข้าคูหา กาเพื่อไทย ให้แลนด์สไลด์ทั้งคน ทั้งพรรค และประชาชนจะได้พบเจอความยุติธรรมที่กินได้ และหน่วยงานราชการที่มีหัวใจเป็นประชาชนอีกครั้ง


ต่อมา แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย กล่าวบนเวทีเริ่มต้นการหาเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ย้ำเบอร์พรรคเพื่อไทย คือเบอร์ 29 และย้ำจุดยืนแลนด์สไลด์ เลือกเพื่อไทยให้ถล่มทลายชนะเสียง ส.ว. เพื่อส่งแคนดิเดต 1 ใน 3 ของพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศ ภายใต้การบริหารงานร่วมกันเป็นทีมและนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะทวงคืนประชาธิปไตยและสร้างความมั่งคั่งให้กับประชาชนทุกคน


โดยแพทองธารได้ลงรายละเอียดนโยบายด้านนวัตกรรมและความเป็นอยู่ไว้ 4 เรื่อง ได้แก่ เทคโนโลยี Blockchain, 1 ครอบครัว  1 ศักยภาพ (Soft Power) , เติมรายได้ให้ครอบครัวที่มีรายได้น้อยกว่า 20,000 บาท ให้ครบ 20,000 บาท และนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ


เรื่องที่หนึ่ง พรรคเพื่อไทยจะนำเทคโนโลยีการเงิน อย่าง Blockchain ที่มีความคล้ายอินเตอร์เน็ต มาใช้เป็นเครื่องมือในกระจายสินค้าคนไทยไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร งานฝีมือ และธุรกิจขนาดย่อย ให้เงินจากทั่วโลกไหลเข้า ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ ของคนไทย ที่รัฐบาลจากพรรคเพื่อไทยจะมอบให้ประชาชนทุกคนที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป พร้อมเงินติดกระเป๋าไว้ใช้เบื้องต้นในระยะสั้น จำนวน 10,000 บาท สำหรับใช้จ่ายใกล้บ้านระยะทาง 4 กิโลเมตร ภายในเวลา 6 เดือน ก่อนเงินจากตลาดโลกจะไหลเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลในระยะยาว


ตอกย้ำจุดยืนที่พรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือ Fintech ของอาเซียน เพราะในโลกยุคใหม่ การเงินไม่จำเป็นต้องอาศัยธนาคารขนาดใหญ่อีกต้องไป เราจึงต้องรู้เท่าทันและก้าวไปข้างหน้าก่อนใคร


เรื่องที่สอง แพทองธารย้ำนโยบาย ‘Soft Power’ จากการยกตัวอย่างความสำเร็จในการผลักดัน Soft Power ของเกาหลีใต้ ให้เห็นว่าหากเปรียบกับประเทศไทยแล้วก็มีศักยภาพที่ไม่แพ้กัน เพียงแต่ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เปรียบเป็นเพชรที่รอการเจียระไน โดยนโยบาย 1 ครอบครัว  1 Soft Power (One Family One Soft Power : OFOS) ของพรรคเพื่อไทย จะเข้าไปค้นหาเพชรจากทุกครอบครัว โดยเปิดกว้างให้ทุกความสามารถได้มีโอกาสเรียนรู้และฝึกฝนทักษะทุกแขนง เพื่อสร้างรายได้ให้ได้อย่างน้อย 20,000 บาท/เดือน/คน พร้อมโครงการที่จะส่งเสริมให้กลุ่มคนที่มีทักษะได้ไปไกลระดับโลก เช่น โครงการครัวไทยสู่ครัวโลก  มวยไทยสู่มวยโลก  ศิลป์ไทยประทับใจโลก


เรื่องที่สาม นโยบายระยะสั้นเพื่อรอการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้มั่นคงในระยะยาว พรรคเพื่อไทยจะสำรวจรายได้ทุกครัวเรือน ให้อยู่ในมาตรฐานรายได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท/เดือน หากครอบครัวไหนมีน้อยกว่า 20,000 บาท/เดือน เราจะเติมให้ครบ 20,000 บาททันที เพื่อลดช่องว่างระหว่างรายได้ ไม่ต้องมีใครต้องทนทุกข์อยู่กับความยากจนอีก


เรื่องที่สี่ แพทองธารย้ำเรื่องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้เป็น 600 บาท/วัน และเงินเดือนสำหรับวุฒิปริญญาตรีและข้าราชการเริ่มต้น  25,000  บาท ที่จะเป็นผลจากนโยบายการกระตุ้นจีดีพี ของพรรคเพื่อไทยให้เติบโตเฉลี่ยปีละ 5% โดยเห็นผลได้ทันทีในปี 2567 หากเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ค่าแรงขั้นต่ำจะเริ่มทยอยปรับขึ้นเป็น 400 บาท/วัน แน่นอน


แพทองธารฝากทิ้งท้ายไว้ว่า ขอฝากให้ประชาชนร่วมกันโหวตเพื่อไทยอย่างมียุทธศาสตร์ ให้แลนด์สไลด์ จะได้ร่วมกันสร้างประเทศไทย และคนไทย ให้มั่งคั่งมีความสุขกันถ้วนหน้า วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ เข้าคูหากาพรรคเพื่อไทย เบอร์ 29  และเลือก ส.ส. เพื่อไทยเบอร์ ตามเขตที่ท่านมีภูมิลำเนา


แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยคนต่อมาคือ เศรษฐา ทวีสิน ได้กล่าวถึงแรงบันดาลใจก่อนเข้าการเมือง ว่าตลอดชีวิตได้พบเจอกับความไม่เท่าเทียมทั้งทางฐานะและโอกาสที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย ตนพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดันความเท่าเทียมทางฐานะและโอกาสเสมอมา แต่ทางเดียวที่จะแก้ไขความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ได้ ภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงเป็นสิ่งที่จุดประกายให้มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อรับบทบาทในการแก้ไขความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ เพื่อให้ลูกหลานได้มีสังคมและชีวิตที่ดีกว่า


ถึงไฮไลต์สำคัญของการประกาศนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง นั่นคือ ‘การเติมเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัล’ ที่เคยประกาศไว้ในงาน คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา แต่ยังไม่บอกตัวเลขว่าเท่าไร และนโยบายการต่างประเทศเพื่อหาตลาดส่งออกสินค้าไทย


อย่างแรก การนำเทคโนโลยีการเงินมาใช้เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัล พร้อมเติมเงินให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ได้ใช้ซื้อของในชีวิตประจำวันได้จากร้านค้าในชุมชนให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยเงินที่จะเติมให้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลมีมูลค่าถึง ‘10,000 บาท’ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับประเทศ สร้างความเจริญเติบโตให้เศรษฐกิจไทย และลดช่องว่างรายได้ ในขณะที่รัฐบาลจะได้รายได้กลับคืนมาในรูปแบบของภาษี และการยกระดับเศรษฐกิจทั้งระบบ


อย่างที่สอง เพื่อไทยขออาสาหาตลาดให้กับผู้ผลิตสินค้าในไทย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น หรือสุราพื้นบ้าน ให้สินค้าจากไทยเข้าถึงตลาดทั่วโลก ที่จะนำรายได้มหาศาลมาสู่ประชาชน โดยหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะมีการยกระดับการเจรจาทางการทูตเพื่อผลประโยชน์ของคนไทย ไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจแต่ยังรวมถึงสิทธิ์ฟรีวีซ่าของพาสปอร์ตไทยในอีกหลาย ๆ ประเทศ ด้วยเช่นกัน


เศรษฐาได้ย้ำถึงความสำคัญในการเจรจาการทูตว่า นอกจากความอิสระของพาสปอร์ตไทยแล้วในอีกมุมหนึ่งยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เข้ามาใช้จ่าย เพิ่มเงินหมุนเวียนในประเทศ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยและเอกชนในต่างประเทศก็สำคัญ เพราะเพื่อไทยจะไปเจรจากับบริษัทต่างประเทศให้เลือกลงทุนที่ประเทศไทย เพิ่มตำแหน่งงาน เพิ่มรายได้ให้คนไทย


เศรษฐาเสริมถึงเรื่อง Soft Power ที่หลากหลายของคนไทย ต้องมีการผลักดันจากภาครัฐและสร้างพื้นที่รองรับการแสดง Soft Power เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงคอนเสิร์ต, งานศิลปิน, เทศกาลหนัง และอื่น ๆ อีกมากมาย ให้เมืองไทยกลายเป็นหมุดหมายที่ทั่วโลกอยากเข้ามาจัดการแสดงที่ประเทศไทย


อย่างที่สาม คือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทัดเทียมระดับโลก โดยประเทศไทยจะต้องเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศ ทางราง และทางเรือ ให้สามารถรองรับผู้คนและสินค้าให้ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายสนามบิน ขยายโครงข่ายรถไฟให้เชื่อมเหนือจรดใต้ และเพิ่มความสามารถของท่าเรือเชื่อมต่อ โดยที่พรรคเพื่อไทยจะยังไม่ละเลยความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ ที่ต้องบริหารจัดการให้เติบโตไปพร้อมกับประเทศได้ อย่าง การนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารพื้นที่ชลประทานอย่างเป็นระบบภายใต้การประสานงานของหน่วยงานรัฐที่ทำงานโดยมีประชาชนเป็นหัวใจหลัก


และอากาศสะอาดที่เป็นพื้นฐานการดำรงชีวิต ประชาชนไม่ควรต้องร้องขอจากรัฐ  โดยเฉพาะปัญหา PM2.5 ที่เราเผชิญอยู่ รัฐบาลที่ดีต้องแก้ไขปัญหาที่ต้นตอทันที


สุดท้าย เศรษฐาได้ประกาศก่อนลงเวทีไว้ว่า ศัตรูของคนคือความยากจน ความไม่เท่าเทียม  ความลำบากของประชาชน ชัยชนะต่อสิ่งเหล่านั้น คือเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเราทุกคน และตนมีความตั้งใจจริงที่จะเข้ามาทำงานเพื่อที่น้องประชาชนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น จึงต้องขอให้ประชาชนคนไทยทุกคนช่วยเป็นกำลัง เพื่อส่งเพื่อไทยไปจัดตั้งรัฐบาลได้มีนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 มาจากพรรคเพื่อไทย โดยการเลือกพรรคเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ ทั้งคน ทั้งพรรค เพื่อส่งต่ออนาคตที่มีแสงสว่าง มีความหวังให้ลูกหลานของเรา


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #เลือกตั้ง66