วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2566

จำคุกม็อบ REDEM 12 ราย คนละ 3 ปี ปรับ 3 หมื่นกว่าบาท คดีป่วนก่อความวุ่นวายหน้าศาลอาญาและซอยรัชดาฯ 32 ขัดขืนเจ้าพนักงานตำรวจ แต่ให้รอลงอาญา ส่วน “บอย ชาติชาย” โดนโทษจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา ปรับ 2.2 พัน และยกฟ้อง 2 ราย

 


จำคุกม็อบ REDEM 12 ราย คนละ 3 ปี ปรับ 3 หมื่นกว่า คดีป่วนก่อความวุ่นวายหน้าศาลอาญาและซอยรัชดาฯ 32 ขัดขืนเจ้าพนักงานตำรวจ แต่ให้รอลงอาญา ส่วน “บอย ชาติชาย” โดนโทษจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา ปรับ 2.2 พัน และยกฟ้อง 2 ราย


วันที่ 28 มีนาคม 2566 เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ห้องพิจารณา 916 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบรีเด็ม (REDEM) ก่อความวุ่นวายหน้าป้ายศาลอาญา หมายเลขดำอ.1423/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้องนายร่อซีกิน นิยมเดชา, นายชาติชาย แกดำ กับพวกรวม 15 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ฯ


โดยอัยการระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2564 เวลากลางวัน ได้มีการร่วมชุมนุมกลุ่ม REDEM จากการเชิญชวนของผู้ใช้เฟซบุ๊กกลุ่มเยาวชนปลดแอก -(Free YOUTH) ให้มาชุมนุมที่ศาลอาญา ประมาณ 300-500 คน โดยนำรถยนต์ติดตั้งขยายเสียง โจมตี เรียกร้องให้ศาลมีคำสั่งให้ประกันตัวนายพริษฐ์ หรือ เพนกวิน ชิวารักษ์ กับพวกรวม 7 คน ซึ่งต้องคดีฐานดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงฯ โดยพวกจำเลยได้กล่าวโจมตี การทำงาน ดูหมิ่นศาล หรือผู้พิพากษา ย้ายแท่นแบริเออร์บริเวณเกาะกลางถนนเพื่อเปิดจุดกลับรถหน้าศาลอาญา แล้วชุมนุมจนเต็มพื้นที่ถนน ใช้ไข่ไก่ มะเขือเทศ ของเหลวสีแดง สาดใส่ป้ายสำนักงานศาลยุติธรรม และป้ายศาลอาญา เสียหาย เปรอะเปื้อน


นอกจากนี้จำเลยที่ 1-2 กับพวกรวม 50 คน ได้เดินข้ามถนน ไปบริเวณปากซอย รัชดาภิเษก 32 ต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) ใช้หนังสติ๊ก ลูกแก้ว อุปกรณ์โลหะ ประทัดยักษ์ ขว้างเข้าใส่ รวมทั้งผู้ชุมนุมใช้ท่อนไม้ หิน ขวดโซดา ขวดแก้วใสน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีเศษผ้า ขว้างปาใส่รถเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขับติดตามมา 4 คันได้รับความเสียหาย เป็นเงิน 983,200 บาท และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอีก 4 คันได้รับความเสียหาย จึงขอให้ลงโทษพวกจำเลยตามความผิดด้วย ซึ่งจำเลยทั้ง 15 คน ให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว


และในช่วงเช้าวันนี้ จำเลยที่ 1-15 เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมทนายความและมวลชนจำนวนหนึ่งที่มาให้กำลังใจ


ต่อมา ศาลอาญาพิจารณาพยานหลักฐานแล้ว ในส่วนของจำเลยที่ 1-2 นั้น ในวันเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1-2 ได้ จากการขับขี่รถจักรยานยนต์ล้มภายในซอยรัชดาภิเษก 32 แต่ไม่ปรากฎว่ามีภาพถ่ายหรือพยานหลักฐานอื่นที่ระบุได้ว่าเป็นผู้ร่วมชุมนุมก่อความวุ่นวายที่บริเวณหน้าป้ายศาลอาญา หรือปากซอยรัชดาภิเษก 32  พยานโจทก์ที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควร จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ ส่วนจำเลยที่ 3 ถึง 15 พยานหลักฐานรับฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 ถึง 15 กับพวกผู้ชุมนุมเป็นความผิดตามฟ้อง ยกเว้นความผิดฐานไม่ขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียง และฐานไม่ขออนุญาตจัดการชุมนุม เพราะไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 ถึง 14 เป็นผู้จัดกิจกรรมการชุมนุม ส่วนที่จำเลยที่ 3 ถึง 14 นำสืบอ้างว่า เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญนั้น แม้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้รับรองเสรีภาพในการชุมนุมไว้ก็ตาม แต่จะต้องไม่กระทบสิทธิหรือเป็นการละเมิดต่อบุคคลอื่น


เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในระหว่างการชุมนุมของจำเลยที่ 3 ถึง 14 กับพวกผู้ชุมนุม มีการใช้กำลังประทุษร้าย และเป็นการก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ด่าทอ ดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี อันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น จึงมิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ส่วนที่จำเลยอ้างว่า การชุมนุมดังกล่าวเป็นการตรวจสอบการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น เห็นว่าการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวและการกำหนดเงื่อนไขอย่างใดในแต่ละคดีเป็นการใช้ดุลพินิจโดยอิสระขององค์คณะผู้พิพากษาตามกฎหมาย ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวฟังไม่ขึ้น


ศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 ถึง 15 มีความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยผู้กระทำความผิดคนใดคนหนึ่งมีอาวุธกับฐานขัดขืนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ไม่ยอมเลิกการมั่วสุม และฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานขัดขืนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ไม่ยอมเลิกการมั่วสุม อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกจำเลยที่ 3 ถึง 14  คนละ 1 ปี ปรับคนละ 10,000 บาท จำเลยที่ 15 จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี จำคุกจำเลยที่ 3 ถึง 14 คนละ 2 ปี  ปรับคนละ 20,000 บาท จำเลยที่ 15 จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันเดินเป็นขบวนใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจรโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับคนละ 300 บาท และฐานร่วมกันเทหรือทิ้งสิ่งปฏิกูล มูลฝอยน้ำโสโครก หรือสิ่งอื่นใดลงบนถนน ปรับคนละ 3,000 บาท


รวมจำคุกจำเลยที่ 3 ถึงที่ 14 คนละ 3 ปี และปรับคนละ 33,300 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้มีกำหนด 2 ปี นอกจากนี้ให้คุมประพฤติและให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ เป็นเวลา 12 ชั่วโมง  ส่วนจำเลยที่ 15  นั้นทางนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษกระทงละหนึ่งในสาม รวมโทษจำคุกนายชาติชาย แกดำ จำเลยที่ 15 มีกำหนด 1 ปี 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และปรับ 2,200 บาท และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และ 2 ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก


ต่อมาในเวลา เวลา 17.00 น. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานผ่านทวิตเตอร์ว่า ศาลอนุญาตให้ประกันตัว "ชาติชาย" ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา ด้วยหลักประกัน 100,000 บาท


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #REDEM