ต่อมา
ศาลขึ้นพิจารณาคดี โดยให้จำเลยทั้ง 5 ยืนขึ้นแสดงตัว
ก่อนจะอ่านคำพิพากษาโดยมีใจความสำคัญระบุว่า “พิพากษาว่าจำเลยทั้ง 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรค 2,
มาตรา 140 วรรค 1, มาตรา
191 วรรค 1, มาตรา 215 วรรค 2, มาตรา 295, มาตรา 296,
มาตรา 358 ประกอบ มาตรา 80, 83, 91 และตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 6, 10, 14, 16, 31
ศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งห้า
เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10
คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 10,000 บาท
ฐานร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่
และฐานร่วมกันพยายามให้ผู้ถูกคุมขังหลุดพ้นจากการคุมขัง
เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
ให้ลงโทษในฐานร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ จำคุกคนละ 2 ปี
ปรับคนละ 20,000 บาท
และในฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่
จำคุกคนละ 2 ปี ปรับคนละ 20,000 บาท
รวมจำคุกจำเลยทั้ง 5 ราย คนละ 4 ปี 6
เดือน ปรับคนละ 50,000 บาท
อย่างไรก็ตาม
ในคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ จึงเป็นมีเหตุให้บรรเทาโทษ ลดโทษลงกระทงละกึ่งหนึ่ง
คงโทษจำคุกจำเลยทั้งห้า คนละ 2 ปี 3 เดือน และปรับคนละ 25,000 บาท
โดยจากการพิเคราะห์รายงานการสืบเสาะ ปรากฏว่าจำเลยทั้งหมดไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน
โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ให้จำเลยรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 ครั้ง ใน
1 ปี และให้ทำงานบริการสังคม 24 ชั่วโมง
อ่านฉบับเต็มที่ https://tlhr2014.com/archives/54775