วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2566

บุกขอนแก่น ส่ง 'พิธา' เป็นนายกฯ 'ธนาธร -ปิยบุตร-ช่อ' ขึ้นเวทีช่วย 'ก้าวไกล' ชี้ สังคมนี้จะดีขึ้น ต้องกล้าเผชิญปัญหาที่ต้นตอ ย้ำ อย่าหลงเชื่อ"ประวิตร" เหตุ เป็นส่วนหนึ่งของ “3 ป.” และความขัดแย้ง

 


บุกขอนแก่น ส่ง 'พิธา' เป็นนายกฯ 'ธนาธร -ปิยบุตร-ช่อ' ขึ้นเวทีช่วย 'ก้าวไกล' ชี้ สังคมนี้จะดีขึ้น ต้องกล้าเผชิญปัญหาที่ต้นตอ ย้ำ อย่าหลงเชื่อ"ประวิตร" เหตุ เป็นส่วนหนึ่งของ “3 ป.” และความขัดแย้ง

 

เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2566 เวลา 18.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณภายในสวนรัชดานุสรณ์ ตรงข้ามศาลากลาง จ.ขอนแก่น เขตเทศบาลนครขอนแก่น พรรคก้าวไกล ได้เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ 'อนาคตใหม่ก้าวไกล เพื่อประเทศไทยไม่เหมือนเดิม' นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมเปิดตัวนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า น.ส.พรรณิการ์ วานิช คณะกรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เป็นผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกลครั้งแรกในปีการเลือกตั้งปี 2566 รวมทั้งเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคก้าวไกล ทั้ง 11 เขต 11 คน

 

ธนาธร ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ได้ขึ้นกล่าวสนับสนุนพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งที่จะมาถึง เพราะเป็นพรรคการเมืองเดียวของประเทศที่กล้าเผชิญปัญหาที่ต้นตอ

 

ธนาธร เริ่มต้นปราศรัยด้วยการกล่าวว่า วันนี้ ครบรอบสามปีกว่าพอดีหลังพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ประสบการณ์ของตน จากที่ก่อนหน้านี้เป็นผู้ติดตามการเมืองจากวงนอก วันนี้ได้เป็นผู้เล่นด้วยตัวเอง ทำงานการเมืองจนมีประสบการณ์มาระยะหนึ่งหลังถูกตัดสิทธิ ได้ใช้เวลาทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากกว่า 60 แห่งในประเทศไทย หลายแห่งอยู่ในภาคอีสาน ทำให้ได้เห็นความยากลำบากของประชาชน

 

เป็นไปได้อย่างไรในปี 2566 คนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่มีน้ำประปาสะอาดใช้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนการสอน บ่อขยะยังไม่ถูกสุขลักษณะ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ผมได้เห็นความเดือดร้อนของประชาชน เห็นการทุจริตในสภา การสืบทอดอำนาจของเผด็จการ” ธนาธรกล่าว

 

ธนาธรกล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ตนเองไม่โกรธ ไม่แค้น แต่น้อยใจในโชคชะตาที่ไม่มีโอกาสมีอำนาจมารับใช้ประชาชน สร้างสังคมไทยที่ลูกหลานมีงานที่มั่นคงทำ มีเงินเหลือมาเลี้ยงดูพ่อแม่ที่แก่เฒ่า สร้างประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตย แต่วันนี้ตนพร้อมทำงานอย่างหนักให้พรรคก้าวไกล เพราะเชื่อว่าพรรคก้าวไกลเป็นพรรคเดียวที่จะนำความฝันของตนให้เป็นจริงได้

 

“4 ปีที่ผ่านมาสรุปได้อย่างหนึ่งจากประสบการณ์ของผม ว่าประเทศนี้ สังคมแบบนี้กดขี่เอารัดเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ของประเทศ ประเทศนี้เอาดอกผลของการพัฒนาไปจุนเจือให้กับคนส่วนน้อยในสังคม ให้กับอภิสิทธิ์ชนในสังคม ถ้าอยากสร้างสังคมที่ดีขึ้น ต้องกล้าชนกับโครงสร้างที่อยุติธรรม ประเทศนี้มีพรรคการเมืองเดียวที่กล้าเผชิญปัญหาที่ต้นตอ กล้าต่อสู้กับกลุ่มทุนผูกขาด ต่อสู้กับรัฐราชการรวมศูนย์ คือพรรคก้าวไกล” ธนาธรกล่าว

 

ทั้งนี้ ตลอดเวลาหลังยุบพรรค ธนาธรเผยว่าได้เฝ้าดูการเติบโตของพรรคก้าวไกล ด้วยความเป็นห่วงว่าจะไปไหวไหม แต่วันนี้มั่นใจได้ว่าพรรคก้าวไกลไปไกลกว่าพรรคอนาคตใหม่แล้ว และคนที่จะนำพาเราไปสู่สังคมที่พวกเราต้องการได้ คือพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพราะพิธาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในกิจการแปรรูปข้าวเป็นน้ำมันรำข้าว ยกระดับราคาสินค้าเกษตร นอกจากนี้ พิธายังสามารถเรียนรู้ เข้าใจโลกและสังคมได้เร็วมาก ฉลาดหลักแหลม พร้อมเรียนรู้ตลอดเวลา และที่สำคัญที่สุดคือมีความกล้าหาญทางการเมือง กล้าอภิปรายในเรื่องละเอียดอ่อน อภิปรายปัญหาสำคัญของประเทศได้อย่างน่าฟัง เปิดประตูบานใหม่ในสภาผู้แทนราษฎร

 

ผมเคยเชื่อว่าพิธาจะเป็นรัฐมนตรีที่ดีคนหนึ่ง แต่วันนี้ผมเลิกเชื่อไปแล้วว่าพิธาจะเป็นรัฐมนตรีที่ดี… แต่พิธาจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุด ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าพิธาในการเป็นผู้นำพาประเทศไทยออกจากความสิ้นหวัง จุดเทียนแห่งแสงสว่างให้กับประเทศไทย” ธนาธรกล่าวทิ้งท้าย

 

ขณะที่ พรรณิการ์ กล่าวว่า พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ด้วยเสียงของคนเพียงไม่กี่คน ทำลายเสียงประชาชนกว่า 6,000,000 คน แม้ยอมรับว่าตนรู้สึกแค้น แต่การยุบพรรควันนั้นทำให้เกิดพรรคก้าวไกลที่เดินหน้าทำงานในสภาฯ เกิดคณะก้าวหน้าที่ทำงานท้องถิ่นอย่างขยันขันแข็ง

 

ส.ส.ก้าวไกลวันนี้ ดีกว่า ส.ส.อนาคตใหม่ เพราะ ส.ส.อนาคตใหม่ มีเวลาทำงานในสภาเพียง 1 ปี แต่ ส.ส.ก้าวไกลที่เหลืออยู่ในสภาฯ ทุกคน ทำงานหนักอย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปี แม้ผู้คนจะบ่นว่ายุบพรรคอนาคตใหม่ทำให้เสียปิยบุตร แสงกนกกุล ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พรรณิการ์ วานิชไป แต่กลับทำให้ได้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ รังสิมันต์ โรม อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ศิริกัญญา ตันสกุล พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ มาแทนที่ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าอนาคตใหม่ไม่ได้มีแค่ธนาธร ปิยบุตร พรรณิการ์ แต่อนาคตใหม่ ซึ่งตอนนี้คือก้าวไกล ทุกคนที่เป็น ส.ส. ได้ทำหน้าที่สมศักดิ์ศรีกับคำว่า ‘ผู้แทนราษฎร’ เป็นผู้แทนของคนตัวเล็กตัวน้อย และคนทุกกลุ่มในประเทศไทย

 

อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวต่อว่า ถ้าไม่มี ส.ส.ก้าวไกล ประชาชนอาจต้องเสียงบประมาณมหาศาลเพื่อจะได้เรือดำน้ำ แต่ตอนนี้ มี ส.ส.พิจารณ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล คอยอภิปรายติดตามความคืบหน้า ถ้าไม่มี ส.ส.ก้าวไกล คนไทยอาจจะไม่รู้ความสัมพันธ์ของผู้มีอำนาจกับทุนจีนสีเทา การที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หอบหลักฐานให้รังสิมันต์ตรวจสอบ ก็เพราะทราบดีว่าพรรคก้าวไกลไม่มีนอกไม่มีในกับใคร หรือหากประเทศไทยไม่มีคณะก้าวหน้า ประเทศไทยวันนี้อาจยังไม่มีน้ำประปาดื่มได้ ซึ่งเทศบาลตำบลอาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ใช้เวลาเพียง 99 วัน ลองคิดดูว่านี่ขนาดพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน ยังสามารถทำได้ขนาดนี้ หากได้เป็นรัฐบาล ภาคอีสานคงปูด้วยทองคำ

 

ที่ผ่านมา บางฝ่ายตั้งคำถามว่าพรรคก้าวไกลหรือพิธาจะไหวหรือไม่ แต่ก็น่าคิดว่าถ้าพิธาไม่ไหวจริงๆ ทำไมจึงมีเฟคนิวส์ใส่ร้ายพิธาทุกวัน เช่น เรื่องตัดงบบำนาญข้าราชการ ซึ่งพรรคก้าวไกลยืนยันหลายครั้งแล้วว่าไม่มีนโยบายนี้ มีแต่เพิ่มบำนาญประชาชนจาก 600 เป็น 3,000 บาทต่อเดือนแบบถ้วนหน้า

 

วันนี้อนาคตใหม่และก้าวไกลรวมตัวกันไม่ใช่เพราะกระแสตก แต่ถึงเวลาแล้วที่จะลั่นกลองรบ พวกเรากลับมาแล้ว ที่นี่ที่แรกที่ขอนแก่น เพื่อพิสูจน์ว่าต่อให้ตัดสิทธิทางการเมืองของเราได้ แต่ไม่มีวันตัดสิทธิทางการเมืองของใครออกจากใจของประชาชน โดยเฉพาะในใจพี่น้องชาวอีสาน” อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่กล่าว

 

พรรณิการ์ทิ้งท้ายว่า เลือกตั้งครั้งนี้หลายคนถามว่าก้าวไกลจะได้ ส.ส. เท่าอนาคตใหม่หรือไม่ เรื่องนี้พรรคไม่จำเป็นต้องเป็นคนตอบ เพราะคำตอบอยู่ในมือของพี่น้องประชาชน จึงต้องถามพี่น้องขอนแก่น พี่น้องคนอีสาน ให้ก้าวไกลมากกว่าอนาคตใหม่ ให้พิธามากกว่าให้ธนาธรได้หรือไม่ เพื่อให้ประเทศไทยการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ส่งพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี

 

ด้านปิยบุตรระบุว่า แม้พวกเราอดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ จะถูกยุบพรรคและตัดสิทธิ 10 ปี แต่เชื่อได้ว่าความรักความผูกพันที่ประชาชนมอบให้เรามายังคงอยู่ ทำให้เรายังมีความรู้สึกว่ายังเป็นผู้แทนของประชาชนเสมอ วันนี้มาเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

 

ปิยบุตรกล่าวต่อไปว่าในเดือน พ.ค. นี้ ประชาชนคนไทยจะได้หย่อนบัตรเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งตนอยากชวนให้ทุกคนใช้บัตรเลือกตั้งในการเปลี่ยนสามสิ่งใหญ่ คือ

 

1) เปลี่ยนขั้วรัฐบาลให้ได้ เพราะ 8 ปีที่ผ่านมายาวนานเหลือเกินไปแล้ว แต่เราต้องอย่าหลงลืมไปจำเพาะเจาะจงแต่ พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้น เพราะ 3 ป. ยังมี “ป.ประวิตร” และ “ป.ป๊อก-อนุพงษ์” ด้วย โดยเฉพาะในการเลือกตั้งรอบนี้ เราต้องจับตาไปที่ พล.อ.ประวิตร เป็นพิเศษ

 

ที่ผ่านมา แม้ พล.อ.ประวิตร จะพยายามสร้างภาพว่าในการเลือกตั้งงวดนี้ ตัวเองจะมาเป็นโซ่ข้อกลางก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่นี่คือสิ่งที่ พล.อ.ประวิตร ไม่สามารถทำได้แน่นอน เพราะความขัดแย้งที่ผ่านมาในรอบสองทศวรรษตั้งแต่ปี 2548 มา ล้วนมี พล.อ.ประวิตรเป็นมูลเหตุหนึ่งของความขัดแย้งทั้งสิ้น ทั้งในการสลายการชุมนุมเสื้อแดงปี 2553 การรัฐประหารปี 2557 ต่อมาก็ได้เป็นรัฐมนตรี ได้เป็นผู้ดูแล ส.ส. ที่มาสนับสนุนประยุทธ์เป็นนายกฯ สรุปเป็นอื่นไม่ได้เลยว่าอยากจะกินรวบตั้งแต่ต้นจนจบเท่านั้นเอง

 

ปิยบุตรยังกล่าวต่อไป ว่าสุดท้ายการปรองดองภายใต้ พล.อ.ประวิตร จะเป็นได้แค่การปรองดองจอมปลอมเท่านั้น เพราะการปรองดองต้องเกิดจากการยอมรับความจริง รู้ว่าต้นเหตุของปัญหาอยู่ที่ไหน แก้ปัญหาได้อย่างถูกจุด ไม่ใช่การซุกขยะไว้ใต้พรม ไล่ยิง ไล่จับขังประชาชน แล้วบอกให้เลิกแล้วต่อกัน ดังนั้น คนเดียวที่จะจัดการให้เกิดการปรองดองได้วันนี้ มีแต่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลเท่านั้น

 

2) เปลี่ยนรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมาสภาชุดนี้มีความพยายามแก้รัฐธรรมนูญหลายครั้ง แต่ก็ต้องติดอุปสรรคตลอด โดยเฉพาะจากวุฒิสภาที่แปลงร่างเป็นผู้ออกใบอนุญาตให้แก้รัฐธรรมนูญได้หรือไม่ ล่าสุดพรรคก้าวไกลผลักดันให้ประชามติพร้อมวันเลือกตั้งก็ติดที่วุฒิสภา มาขวางการแก้รัฐธรรมนูญอีกแล้ว ทางเดียวที่เราจะจัดการเรื่องนี้ได้ ต้องเลือก ส.ส. พรรคก้าวไกลเข้าไปให้มากที่สุด ให้เกิน 250-300 ให้เกิดแรงกดดันนี้จากเสียงของประชาชนเป็นผู้ลงมติอย่างล้นหลาม ที่จะนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญได้แน่นอน

 

3) เปลี่ยนประเทศไทย เพราะประเทศไทยมีโครงสร้างปัญหาหลากหลายเรื่องราว เต็มไปด้วยปัญหาที่หมักหมมเรื้อรังมานานตั้งแต่ปี 2548 การแก้ปัญหาที่ผ่านมาเปรียบดั่งการซื้อยาแก้ปวดมากินไปครั้งคราว ทั้งที่ความจริงจะต้องใช้การผ่าตัดใหญ่ ด้วยการแก้ปัญหาให้ถึงที่โครงสร้าง เช่น การจะกระจายอำนาจ ไม่ใช่โยนเงินให้ไปเป็นครั้งๆ แล้วจบ, เราต้องมีรัฐสวัสดิการ ไม่ใช่นโยบายแจกเงินแบบครั้งคราวเดี๋ยวก็หมด, เราต้องทลายทุนผูกขาด ที่กินรวบประเทศไทยทั้งโครงสร้าง ไม่ใช่มาลดแลกแจกแถมให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กเป็นเรื่องๆ ไป และเราต้องการการปฏิรูปที่ดิน ไม่ใช่การไปเดินแจกโฉนดชุมชนทีละที่ เป็นต้น

 

ปิยบุตรกล่าวต่อไป ว่าที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลไปที่ไหนก็ถูกหาว่าไม่แตะเรื่องปากท้อง จะแก้แต่เรื่องโครงสร้าง ทั้งที่ความจริงแล้วพรรคก้าวไกลมีนโยบายเต็มไปหมด ครบวงจรทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สวัสดิการ ปากท้อง เพิ่มโอกาสให้ประชาชนเป็นผู้ประกอบการ เพราะเป็นเรื่องเดียวกันหมด ทั้งนี้ ตนสังเกตได้ว่าคนที่พยายามพูดอยู่เสมอ ว่าปากท้องต้องมาก่อนโครงสร้าง คือผู้ที่รู้ดีอยู่แล้วว่าก้าวไกลทำทั้งเรื่องปากท้องและโครงสร้าง รู้อยู่แล้วว่ารัฐบาลทำทุกเรื่องพร้อมกันได้หมด รู้อยู่แล้วว่าโครงสร้างมีปัญหา แต่จงใจละเลยไม่พูดถึงเรื่องโครงสร้างเพราะกลัวจะเจอตอ พูดไปเดี๋ยวไม่ได้เป็น ส.ส. ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี

 

นี่คือความกลัว รู้หมดว่าปัญหาอยู่ที่ไหน รู้ว่าก้าวไกลพูดทั้งสองเรื่องสัมพันธ์กัน แต่ที่ต้องบิดเบือนพูดอีกแบบก็เพราะจากก้นบึ้งหัวใจ พวกเขากลัวว่าถ้าไปแตะเรื่องโครงสร้างแล้วจะไม่ได้เป็น ส.ส. ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี คนแบบนี้จะมาอาสาเป็น ส.ส. ได้อย่างไร ผู้แทนต้องมีความกล้าหาญ โอกาสมาเมื่อไรต้องทำทันที อย่าให้ความกลัวมาบดบัง ไม่เช่นนั้นรัฐบาลมากี่ชุดก็ได้แต่กินพาราแก้ปวด แล้วก็วนมาเจอปัญหาเดิม ๆ ทุกครั้งไป” ปิยบุตรกล่าว

 

ปิยบุตรยังกล่าวต่อไป ว่าตนเห็นหน้าสื่อข่าวการเมืองวันนี้ วันๆ มีแต่ข่าวการดึง ส.ส. พรรคนั้นพรรคนี้ มีแต่การแย่งตัวย้ายกันไปมา วันก่อนอยู่ฝ่ายสืบทอดอำนาจ แค่เปลี่ยนเสื้อก็มาเป็นฝ่ายประชาธิปไตยได้ทันทีแล้ว การเมืองแบบนี้คือการเมืองของอดีต เลือกตั้งทีย้ายพรรคที เป็นแบบนี้มาหลายทศวรรษแล้ว ไม่ก็มีแต่เรื่องเดิมๆ ว่าจะเอาประยุทธ์หรือไม่เอาประยุทธ์ ใครจะได้กลับบ้านหรือไม่ได้กลับบ้าน นี่คือการเมืองของอดีต

 

ซึ่งต่างจากการเมืองแบบอนาคต ที่ต้องมุ่งมั่นไปแก้ปัญหาทั้งปากท้องและโครงสร้าง ดังนั้น ใครที่เบื่อแล้วกับการที่ประเทศไทยยังคงวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องแบบนี้ มามุ่งมั่นตั้งใจเปลี่ยนประเทศไทยไปกับพรรคก้าวไกลดีกว่า ไม่มีพรรคไหนตอบโจทย์ปัญหาที่แท้จริงของอนาคตประเทศไทยได้ สร้างการเมืองแห่งความหวัง การเมืองแห่งอนาคต ได้เหมือนอย่างพรรคก้าวไกลอีกแล้ว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #เลือกตั้ง66