อัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้อง “ธนาธร” ปมถือหุ้นสื่อวี-ลัค หลังศาลรธน.วินิจฉัยขาดคุณสมบัติ!
วันที่
30 พ.ย.65 เวลา 11.00 น. นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์
โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง
รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกันแถลงข่าวคดีที่ สน.ทุ่งสองห้อง
โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยนายผดุงวิทย์ ผดุงสรรพ์ ผู้รับมอบอำนาจ
ยื่นดำเนินคดีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
พ.ศ. 2561 มาตรา 151 ประกอบ มาตรา 42
(3) ต่อพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา
ได้รับสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ 467/2563
ในข้อหารู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมีให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อของตน
เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ กรณีถือหุ้นของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด
(หุ้นสื่อ)
ต่อมาพนักงานอัยการ
สำนักงานคดีอาญา พิจารณาแล้วมีคำสั่งทางคดีคือ สั่งไม่ฟ้องนายธนาธร
จึงรุ่งเรื่องกิจ ผู้ต้องหา
ในความผิดฐานรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ
หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัคร์รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้สมัครรับเลือกตั้ง
หรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อของตน
เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561
มาตรา 42 (3), 151 วรรคหนึ่ง
แล้วจึงส่งสำนวนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เพื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1
ซึ่งภายหลังสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีความเห็นแย้งแล้วส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุด
เพื่อพิจารณชี้ขาดความเห็นแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1
วรรคสอง
คดีนี้อัยการสูงสุด
พิจารณาคดีดังกล่าวแล้ว มีความเห็นว่าการดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาในความผิด ฐานรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
เนื่องจากขาดคุณสมบัติ
หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อของตน
เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
พ.ศ. 2561 มาตรา 42(3), มาตรา 151
วรรคหนึ่ง
ซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญาจำต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งปวงว่าผู้ต้องหากระทำความผิดตามข้อกล่าวหา
จริงหรือไม่ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า
ผู้ต้องหาได้ทำการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อที่ตนได้ถือหุ้นไว้ให้แก่ผู้เป็นมารดา
และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจจัดการแทน บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ไปเมื่อวันที่ 8 ม.ค.62
โดยมีบุคคล 3 คน เป็นพยานบุคคลและมีเอกสาร
ตราสารโอนหุ้น ทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด
เป็นพยานเอกสารมาสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการโอนหุ้นตามข้อบังคับของบริษัท
และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129กล่าวคือ
ต้องทำหลักฐานการโอนหุ้นเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอน
และมีการจดแจ้งการโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นแล้ว
ซึ่งตามกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้อง
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 , 41
แม้ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการไต่สวน พยานของผู้ต้องหาดังกล่าว
ศาลรัฐธรรมนูญจะเห็นว่ามีข้อพิรุธ ก็เป็นเรื่องพิรุธในข้อเท็จจริงของคำให้การพยานฝ่ายผู้ต้องหาเพียงฝ่ายเดียว
แต่การดำเนินคดีอาญาโจทก์ต้องมีพยานหลักฐานอื่นมาแสดงหรือใช้นำสืบพิสูจน์ให้ศาลรับฟังเชื่อได้โดยปราศจากข้อระวังสงสัยว่า
ผู้ต้องหากระทำความผิด ตามข้อกล่าวหาหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 227 วรรคสอง
ทั้งข้อพิรุธของผู้ต้องหา
กฎหมายมิได้บัญญัติให้เป็นข้อสันนิษฐานของกฎหมายแต่อย่างใด
จึงไม่อาจนำเอาข้อพิรุธของพยานฝ่ายผู้ต้องหาตามที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาดังกล่าวมาใช้เป็นพยานหลักฐาน
เพื่อยืนยันว่าผู้ต้องหากระทำความผิดตามข้อกล่าวหาได้โดยลำพัง นอกจากนี้ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริง
และหรือพยานหลักฐานอื่นใดที่แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมใดเกี่ยวข้องกับบริษัท
วี-ลัค มีเดีย จำกัด
ภายหลังจากวันที่ระบุว่ามีการโอนหุ้นไปแล้วที่จะทำให้มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้ต้องหายังคงถือหุ้นอยู่
ในขณะเกิดเหตุหรือมิได้โอนหุ้นของตนให้แก่นางสมพรแต่อย่างใด
ทั้งผู้ต้องหามิได้เป็นผู้มีอำนาจจัดการ แทนบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด
จึงไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการแจ้งการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้น
ตามแบบ บอจ.5 ให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทฯ ทราบ
การที่ผู้มีอำนาจจัดการแทนบริษัท
วี-ลัค มีเดีย จำกัด
เพิ่งแจ้งการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทล่าช้า
จึงยังไม่อาจนำมารับฟังให้เป็นผลร้ายแก่ผู้ต้องหาได้
ประกอบกับคดีนี้มีผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดมา จึงเห็นว่าพยานหลักฐาน ยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอที่จะฟ้องและพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาได้
อัยการสูงสุดมีคำสั่งชี้ขาดไม่ฟ้องนายธนาธร
จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ต้องหา ความผิดฐานรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อของตนเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
พ.ศ. 2561 มาตรา 151 ประกอบ มาตรา 42 (3)
นายธรัมพ์
กล่าวว่า เมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้องในคดีอาญา นายธนาธรจึงไม่มีความผิดในข้อหาคดีอาญา
คือ พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะสั่งฟ้องในคดีนี้
แต่ส่วนการวินิจฉัยเรื่องคุณสมบัติของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกเลิกไปแล้ว ผลก็ต้องเป็นไปตามนั้น ทั้งนี้ต้องเรียนว่าเป็นการพิจารณากฎหมายคนละฉบับกัน
อันนี้อัยการพิจารณาเฉพาะในส่วนของข้อหาคดีอาญา
ซึ่งอัยการดูเรื่องเจตนาจากพยานหลักฐานทั้งหมดพบว่านายธนาธรน่าจะไม่มีความผิดกฎหมายอาญา
และขอย้ำว่าไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญที่ท่านวินิจฉัยในเรื่องของคุณสมบัติต้องห้ามของนายธนาธรในการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(ส.ส.)
ที่มา
: ข่าวสดออนไลน์
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ธนาธร #ถือหุ้นสื่อ