ด่วน!
ป.ป.ช.ตีตกข้อกล่าวหา “ยิ่งลักษณ์ - ครม." จ่ายเยียวยาผู้ชุมนุมทุกสีเสื้อ ปี
2548 - 2553 โดยมิชอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อไม่นานนี้
มีมติตีตกข้อกล่าวหาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับพวก
รวม 36 ราย
กรณีถูกกล่าวหาว่าจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง พ.ศ.
2548-2553 โดยไม่มีอำนาจและไม่มีกฎหมายรองรับ
เพื่อช่วยเหลือพวกพ้องของตน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 66 และตามประมวลกฎหมายอาญา
สำหรับรายชื่อผู้ถูกกล่าวหา
ประกอบด้วย 1.
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 2. นายยงยุทธ
วิชัยดิษฐ รองนายกฯและรมว.มหาดไทย
และในฐานะประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ
(ปคอป.) 3. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ 4. นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรมว.คลัง 5. พล.อ.ยุทธศักดิ์
ศศิประภา รองนายกฯ 6. นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกฯ
และรมว.ท่องเที่ยวและกีฬา 7. นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล
รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 8. นางนลินี ทวีสิน
รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
9.
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 10. พ.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม 11. นายทนุศักดิ์
เล็กอุทัย รมช.คลัง 12. นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.คลัง 13.
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ 14. นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 15. นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ 16. นายณัฐวุฒิ
ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ 17. นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ
รมว.คมนาคม 18. พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม 19. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม 20. นายปรีชา
เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 21. น.อ.อ.อนุดิษฐ์
นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 22. นายอารักษ์
ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน 23. นายบุญทรง เตริยาภิรมย์
รมว.พาณิชย์
24.
นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.พาณิชย์ 25. นายชูชาติ
หาญสวัสดิ์ รมช.มหาดไทย 26. นายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย
7. พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม 28. นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงาน 29. นางสุกุมล
คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม 30. นายปลอดประสพ สุรัสวดี
รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 31. นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช
รมว.ศึกษาธิการ 32. นายศักดา คงเพชร รมช.ศึกษาธิการ 33.
นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข 34. นายสุรวิทย์
คนสมบูรณ์ รมช.สาธารณสุข 35. ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์
รมว.อุตสาหกรรม และ 36. นายปกรณ์ พันธุ
อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
ทั้งนี้
ในการพิจารณาของคณะกรรมการป.ป.ช. ที่ประชุมในวันดังกล่าวมีกรรมการร่วมประชุม 6 ราย มี
2 รายไม่ได้เข้าร่วมการประชุม
โดยที่ประชุมป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่าในประเด็นการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง
พ.ศ. 2548 – 2553 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ที่ประชุมป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์
เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการป.ป.ช. ในฐานะองค์คณะในการไต่สวนข้อเท็จจริง
ที่เห็นว่าเมื่อปรากฏการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง
พ.ศ.2548 – 2553 ไม่มีกฎหมายรองรับให้จ่าย
การจ่ายเงินแผ่นดินดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนประเด็นเมื่อการจ่ายเงินเยียวยาฯ
ไม่มีกฎหมายรองรับให้จ่าย ผู้ถูกกล่าวหาต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่นั้น
เห็นว่ากรณีของนายสุชาติ ธาดาธํารงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางนลินี
ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
และนายวิรุฬ เตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลังไม่ได้อยู่ร่วมในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ลงมติ
ประกอบกับมิได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องหรือได้รับมอบหมายให้นํานโยบายเกี่ยวกับการเยียวยาฯไปปฏิบัติให้บรรลุผล
บุคคลทั้ง 3 จึงไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าได้กระทำการอันมีมูลตามข้อกล่าวหา
จึงให้ข้อกล่าวหาตกไป
ส่วนการกระทำของน.ส.ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เหลืออีกรวม 30 ราย
ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า แม้ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 30 รายจะร่วมลงมติในวันดังกล่าว แต่เป็นการทำหน้าที่ในฐานะองค์กรบริหารหรือคณะรัฐมนตรี
ซึ่งเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามมาตรา
174 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และเมื่อผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 30 ราย
มิได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องหรือได้รับมอบหมายให้นํานโยบายเกี่ยวกับการเยียวยาฯ
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติไปปฏิบัติให้บรรลุผล ผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่มีอำนาจหน้าที่
ไม่อาจกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญาตามที่ถูกกล่าวหาได้
กรณีไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าได้กระทำการอันมีมูลตามข้อกล่าวหา ให้ข้อกล่าวหาตกไป
ส่วนการกระทำของนายยงยุทธ
วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย
และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.กระทรวงการคลัง ที่ประชุมเสียงข้างมากจำนวน 5
เสียง
เห็นว่าการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง พ.ศ.2558
– 2553
เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554
ว่าจะเยียวยาและฟื้นฟูแก่บุคคลทุกฝ่ายซึ่งได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากความเห็นที่แตกต่าง
สอดรับกับความเห็นของคณะกรรมการอิสระ
ตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)
ที่เสนอให้ใช้มาตรการพิเศษที่ไม่ยึดติดอยู่กับสิทธิที่มีอยู่ตามกรอบของกฎหมายและแนวปฏิบัติของหน่วยงานและองค์กรที่ดำเนินการในกรณีปกติ
ดังนั้น
การกระทำของนายยงยุทธ
ซึ่งมีบทบาทเป็นผู้เสนอหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยา
ด้านการเงินต่อคณะรัฐมนตรี และการกระทำของนายกิตติรัตน์ ในฐานะผู้บังคับบัญชาสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง
จึงเป็นการกระทำอันเป็นผลโดยตรงมาจากนโยบายที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา
ซึ่งเป็นเรื่องทางรัฐประศาสโนบายหรือเป็นการกระทำในทางการเมือง ซึ่งอยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะกระทำได้
ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 2 รายจึงมิได้มีเจตนาพิเศษที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ
ประกอบกับการจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ชุมนุมทางการเมืองฯ
มิได้จ่ายให้แก่เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งโดยเฉพาะ
จึงมิได้เป็นการเลือกปฏิบัติแก่ผู้ชุมนุมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นการจ่ายเงิน
เพื่อเยียวยาแก่ผู้ชุมนุมโดยเสมอภาคทั่วหน้ากัน กรณีไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าได้กระทำการอันมีมูลตามข้อกล่าวหา
ให้ข้อกล่าวหาตกไป
ส่วนการกระทำของนายปกรณ์
พันธุ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และในฐานะประธานคณะทำงานช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรม
ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ว่านายปกรณ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
และในฐานะประธานคณะทำงานช่วยเหลือเยียวยาด้านเงินตามหลักมนุษยธรรม มีหน้าที่ในดำเนินการจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับ
ผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินจาก
เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง พ.ศ.2548 – 2553 และเป็นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีในนโยบาย
เรื่องการเยียวยาแก่ผู้ชุมนุมทางการเมืองฯ
เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานว่าในการทำหน้าที่เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดตอบแทน
หรือกระทำโดยมี เจตนาทุจริตหรือเจตนาทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ดังนั้น
เมื่อไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าได้กระทำการอันมีมูลตามข้อกล่าวหา ให้ข้อกล่าวหาตกไป
ที่มา
: สำนักข่าวไทย
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์