เซฟบางกลอย
พร้อมเยาวชนอายุ 13 ยื่นUN
คุ้มครองความปลอดภัยนักกิจกรรม หลังถูกตัดสายคลัชมอเตอร์ไซค์
ข่มขู่ด้วยมีด-ปืน รุมทำร้ายร่างกาย ด้าน UN รับเรื่องพร้อมช่วยเดินเรื่องเร่งรัดคดีความ
วันนี้
(3 พ.ย. 2565) เมื่อเวลา 13.00 น. ที่หน้าองค์การสหประชาชาติ ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ
ภาคีเซฟบางกลอยและกลุ่มทะลุแก๊ส เข้าพบตัวแทนสำนักงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย
พร้อมยื่นหนังสือถึงองค์การสหประชาชาติ และองค์กรพิทักษ์สิทธิเด็กเรื่อง
"การติดตามกรณีนักกิจกรรมและเยาวชนถูกคุกคามและทำร้ายร่างกาย"
จากกรณีที่ น.ส.แทนฤทัย แทนรัตน์ อายุ 22 ปี
กลุ่มภาคีเซฟบางกลอยและเฟมินิสต์ปลดแอก ถูกตัดสายครัชรถจักรยานยนต์
เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บ รวมถึงกรณีที่เยาวชนอายุ 13 ปี
ถูกกลุ่มชายไม่ทราบฝ่ายข่มขู่ด้วยอาวุธมีด-ปืน และลงมือทำร้ายร่างกายเมื่อดึกคืนวันที่
21 ตุลาคมที่ผ่านมา
โดยนางสาวอัญชลี ผู้นำยื่นหนังสือ กล่าวก่อนที่จะนำ 2
นักกิจกรรม เข้าพบตัวแทนองค์การสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย เพื่อพูดคุยถึงรายละเอียดและข้อกังวล
ว่า การเข้ายื่นหนังสือในวันนี้
เพื่อขอรับการคุ้มครองตามหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล ซึ่งขณะเกิดเหตุได้พยายามร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐแต่ไม่มีการช่วยเหลือใด
ๆ จึงอยากขอให้สหประชาชาติส่งเสียงถึงรัฐบาลให้ปฏิบัติตามหลักสากล
เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพความปลอดภัยของนักกิจกรรมทางการเมือง
สำหรับรายละเอียดหนังสือที่ยื่น
ส่งถึง Ms.Cynthia
Veliko Regional Representative of the High Commissioner for Human Right in
South-East Asia โดยมีรายละเอียดระบุว่า
การคุกคามนักกิจกรรมโดยเจ้าหน้าที่รัฐไทย หรือโดยการสนับสนุนรู้เห็นเป็นใจของเจ้าหน้าที่
นับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น สืบเนื่องจาก 2 เหตุการณ์ล่าสุด ได้แก่
1)
วันที่ 21 ต.ค. น.ส.แทนฤทัย แท่นรัตน์ นักกิจกรรมหญิงอายุ 22 ปี จากกลุ่ม
“เฟมินิสต์ปลดแอก และภาคีเซฟบางกลอย โดนตัดสายคลัชรถจักรยานยนต์
เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุในคืนวันดังกล่าว น.ส.แทนฤทัย
นำรถไปจอดในโรงเรียนสตรีวิทยาขณะไปรับประทานอาหาร จากนั้นพบเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนแนะนำให้เอารถไปจอดภายในโรงเรียนเพื่อความเรียบร้อย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์กลับ แต่ไม่สามารถควบคุมรถได้
รถกระชาก ไม่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ ทำให้รถล้มจนได้รับบาดเจ็บ
เมื่อตรวจสอบรถพบว่าสายคลัชมีรอยถูกกระชากและขาดเสียหายทั้งที่เพิ่งเปลี่ยนสายใหม่เมื่อวันที่
17 ต.ค. ที่ผ่านมา
2)
กลางคืนวันเดียวกัน เยาวชนอายุ 13 ปี จากกลุ่มทะลุแก๊ส ถูกบุคคลไม่ทราบฝ่าย 6 คน
ข่มขู่ด้วยอาวุธมีด ปืน และลงมือทำร้ายร่างกาย ขณะที่กำลังขับขีรถจักรยานยนต์และจอดติดไฟแดงที่แยกราชวิถี
กลุ่มบุคคลดังกล่าวขับขี่รถจักรยานยนต์มาจากทาง สน.ดุสิต มีชายทั้ง 6
คนกลับเข้ามาทำร้าย ข่มขู่ด้วยมีดด้ามยาวและมีการเหน็บปืนให้เห็น พร้อมกับต่อยเข้าที่ใบหน้า
ทำให้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จึงไปแจ้งความดำเนินคดีที่ สน.ดุสิต ทั้งนี้
รายละเอียดเหตุการณ์ปรากฏตามภาพและเนื้อหาข่าวที่แนบท้ายมาตามหนังสือนี้
ทั้งนี้
น.ส.แทนฤทัย แท่นรัตน์ เป็นนักกิจกรรมจากกลุ่ม “ภาคีเซฟบางกลอย” และ
“เฟมินิสต์ปลดแอก” รวมถึงร่วมผลักดันประเด็นการเมืองและสิทธิมนุษยชนอีกหลายประเด็น
เช่น สมรสเท่าเทียม สิทธิที่ดินทำกินของกลุ่มชาติพันธุ์
จัดกิจกรรมวันผู้สูญหายสากล และอื่น
ส่วนเยาวชนที่ถูกทำร้ายร่างกายเป็นนักกิจกรรมจากกลุ่ม
“ทะลุแก๊ส” ซึ่งได้ใช้สิทธิในการแสดงออกและเข้าร่วมชุมนุมในกิจกรรมต่าง ๆ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นที่น่าสันนิษฐานว่ามีมูลเหตุทางการเมืองจากพื้นหลังของบุคคลทั้ง
2 ดังกล่าว และถือเป็นประเด็นปัญหาที่น่าห่วงกังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากมีลักษณะเป็นการคุกคามที่เล็งผลถึงชีวิต
และเป็นการละเมิดสิทธิในการมีชีวิตตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำความรุนแรงต่อเยาวชนดังที่กล่าวไปข้างต้นเป็นปัญหาร้ายแรง
เป็นการละเมิดสิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง จากการใช้ความรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจโดยจำเป็นต้องเน้นย้ำว่า
เยาวชนดังกล่าวได้พยายามแสวงหาความช่วยเหลืออจากเจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่
หากแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือในเวลาที่เกิดเหตุเลย
การละเมิดสิทธิมนุษยชนภายใต้รัฐบาล
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้เพียงเกิดขึ้นกับ 2 กรณีดังกล่าว
ที่ผ่านมาประชาชนและนักกิจกรรมฝั่งประชาธิปไตย
ได้ถูกเจ้าหน้าที่รัฐได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนประชาชนไทยที่เรียกร้องประชาธิปไตย
ด้วยการทำร้าย ทรมาน สังหารนอกกระบวนการยุติธรรม และบังคับให้สูญหาย รวมทั้งติดตามคุกคามนักกิจกรรมอย่างต่อเนื่องนับไม่ถ้วนด้วยวิธีการต่าง
ๆ โดยที่หน่วยงานและกลไกในประเทศ ไม่เต็มใจ (unwilling) ที่จะแก้ไข
ทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบร้ายแรงถึงชีวิตได้
หากปราศจากการติดตามและตรวจสอบการคุกคามของเจ้าหน้าที่
กลุ่มภาคีเซฟบางกลอย
จึงขอเรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติ
1.
แสดงออกและส่งเสียงถึงรัฐบาล ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ซึ่งได้กระทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
และละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนอย่างกว้างขวางมาโดยตลอด
ให้ปฏิบัติตามหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนที่ไทยมีพันธะผูกพันที่ต้องปฏิบัติตาม
โดยเฉพาะเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดและการชุมนุมอย่างสงบ
และรับรองไม่ให้มีการคุกคามเกิดขึ้นจนเกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตของนักกิจกรรมฝั่งประชาธิปไตย
ทุกกลุ่มเคลื่อนไหว ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชน
2.
ดำเนินการเพื่อให้กลไกสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ติดตามคดีทั้ง 2 กรณีนี้
ซึ่งผู้เสียหายทั้ง 2 ได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่ สน.ชนะสงคราม และ สน.ดุสิต
ทั้งเรื่องคดีอุบัติเหตุที่เชื่อว่าเกิดจากการคุกคามและคดีทำร้ายร่างกายเยาวชน
เพื่อหาแนวทางในการปกป้องคุ้มครองให้ทุกคน โดยเฉพาะเยาวชนซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง
สามารถใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิด ความเชื่อของตนได้อย่างความปลอดภัย
ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
3.
เรียกร้องให้ได้รับการคุ้มครองในฐานะประชาชนในประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ
ผู้ยื่นหนังสือหวังว่า
องค์การสหประชาชาติ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ และองค์กรอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้อง จะตอบสนองข้อเรียกร้องดังกล่าวเพื่อเป็นการปกป้องและคุ้มครองความปลอดภัยให้กับประชาชนไทยจากการคุมคาม
และความรุนแรง
เพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนให้ประเทศไทยเป็นแบบอย่างของประเทศที่มุ่งมั่นในการปฏิบัติตามพันธกรณีต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
(อัญชลี
อิสมันยี)
ผู้ยื่นหนังสื่อ
ต่อมาเวลา
14.00 น. ภายหลังเข้าพบเจ้าหน้าที่ UN แล้วเสร็จ นางสาวอัญชลี
กล่าวว่า หัวหน้าผู้ประสานงานเรื่องสิทธิมนุษยชน ของ UN เป็นฝ่ายมาต้อนรับ
โดยสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และแจ้งว่าจะไปติดตาม ตามที่สน.ที่แจ้งความไว้
เพราะยังไม่มีความคืบหน้า และพรุ่งนี้ (4 พ.ย.) ทาง UN จะไปพบทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
(กสม.) ว่าเดินเรื่องอย่างไรบ้าง หากทาง กสม.ยังไม่ดำเนินเรื่องไปทางสน. ทาง UN
จะดำเนินเรื่องเอง และหากเดินไปถึงขบวนการสืบสวนเกิดขึ้น
ให้ทางนักกิจกรรมแจ้งไปทาง UN จะส่ง้จ้าหน้าที่ไปร่วมสังเกตุการณ์
ด้านนางสาวแทนอุทัย
กล่าวว่า คาดหวังว่า เหตุการณ์คุกคามแบบนี้จะไม่เกิดกับนักกิจกรรมหรือประชนคนไหนอีก
อยากให้กรณีของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย
แต่ถ้าเกิดขึ้นอีกก็ต้องยกระดับในการเดินเรื่องและเรียกร้องหยุดคุกคามประชาชนต่อไป
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์ #หยุดคุกคามประชาชน