เพลิงไหม้ตลาดสำเพ็ง คาดอาจเกิดจากหม้อแปลงระเบิด พบมีผู้เสียชีวิต 2 ราย รถยนต์เสียหาย 5 คัน
วันนี้ (26 มิ.ย. 65) เมื่อเวลา 11.30 น. พ.ต.ท.พลวรรษ พรหมศร สว.(สอบสวน) สน.จักรวรรดิ์ รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน ใกล้เคียงท่าน้ำราชวงศ์ ถนนราชวงศ์ แขวงจักรวรรดิ์ เขตสัมพันธ์วงศ์ จึงประสานเจ้าหน้าที่สถานีดับเพลิงและกู้ภัยสวนมะลิ เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งและรุดไปตรวจสอบพร้อม พล.ต.ต.สรรเสริญ ใช้สถิตย์ ผบก.น.6 พ.ต.อ.จักรเพชร พลอยเพชรนิล รองผบก.น.6 พ.ต.อ.นนท์ นุ่มบุญนำ ผกก.กลุ่มงานสอบสวน บก.น.6 รรท.ผกก.สน.จักรวรรดิ์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.จักรวรรดิ์
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น เป็นพื้นที่ร้านขายของ โดยพบแสงเพลิงลุกไหม้ลามไปประมาณ 6 คูหา เจ้าหน้าที่เร่งใช้น้ำกว่า 10 หัวฉีด ควบคุมเพลิงที่ลุกไหม้จากทางด้านล่างอาคาร โดยมีผู้ติดอยู่ค้างในอาคาร 2 ราย
นอกจากนี้ บริเวณที่เกิดเหตุมีรถยนต์ถูกเผาทำลาย บริเวณหน้าอาคาร 3 ชั้นที่เกิดเพลิงไหม้ 4 คัน จากจุดหน้าตึกที่มีเพลิงไหม้มีหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้รับเพลิงไหม้เสียหาย โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวเกิดจากหม้อแปลงไฟฟ้าดังกล่าวระเบิดขึ้นจึงเกิดเหตุเพลิงไหม้ลุกลามไปยังตัวอาคาร
ต่อมา เวลา 12.35 น. เพลิงเริ่มสงบลง แต่มีไฟปะทุเป็นระยะ มีเสียงแตกและคล้ายโครงสร้างอาคารบีบอัด เจ้าหน้าที่ต้องถอยออกมาฉีดน้ำอย่างระมัดระวัง เบื้องต้นการฉีดน้ำกว่า 1 ชั่วโมง จนสามารถควบคุมเพลิงส่วนใหญ่ไว้ได้
ต่อมาเวลา 12.56 น. เจ้าหน้าที่เข้าควบคุมเพลิงภายในอาคารจากบริเวณชั้น 2 และเร่งระบายกลุ่มควันสีดำที่พุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งไม่ปรากฎกลุ่มควัน จากนั้นได้ใช้รถกระเช้าเพื่อเข้าควบคุมเพลิงจากชั้นดาดฟ้าที่ยังคงมีกลุ่มควันสีดำ และฉีดน้ำเพื่อเลี้ยงหม้อแปลงไฟฟ้าที่ยังปรากฎเพียงกลุ่มควันสีขาวเป็นระยะ
กระทั่งเวลา 14.00 น. เจ้าหน้าที่ประกาศคลี่คลายสถานการณ์ ไม่มีเหตุรุนแรง และใช้โฟมในการดับถ่านที่อยู่ภายในอาคาร
ด้าน น.ส.อาทิตยา โชคกิจมนัสชัย ผู้อำนวยการเขตสัมพันธวงศ์ เปิดเผยว่า เบื้องต้นเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวเกิดจากสาเหตุที่หม้อแปลงระเบิดจึงทำให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ และมีลมแรงจึงทำให้เพลิงพัดลุกไหม้ไปยังอาคารข้างเคียง ประกอบกับมีถังแก๊สตั้งอยู่เพราะเป็นร้านขายอาหารตามสั่ง จึงทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น เบื้องต้นมีอาคารเกิดเหตุเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายประมาณ 4 คูหา จากที่ได้รับรายงานมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร อยู่บริเวณดังกล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์ และเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อหาสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้อย่างเอียด
ต่อมา น.ส.จิตรา อัฐใจ อายุ 34 ปี ลูกจ้างร้านขายถุงพลาสติก ซึ่งหนีออกจากอาคารได้อย่างหวุดหวิดให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. มีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า มาตรวจสอบและซ่อมแซม สายไฟบริเวณดังกล่าว ซึ่งพาดขนานไปกับตัวอาคารบริเวณชั้น 2 ของร้านค้าในละแวกเดียวกัน กระทั่งเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าเดินทางกลับไป ตนและผู้ค้าอีกหลายคนสังเกตเห็นว่าบริเวณสายไฟที่หน้าร้านตน เกิดเสียงดังคล้ายไฟช็อต และได้วิจารณ์กันว่าเจ้าหน้าที่ไม่พันเก็บสายไฟให้เรียบร้อย ต่อมาไม่นานได้มีของเหลวไหลทะลักออกจากหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่ติดตั้งอยู่บริเวณหน้าร้าน ก่อนจะมีเสียงระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง ทำให้ตนต้องรีบวิ่งข้ามถนนไปอยู่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นแสงเพลิงก็ลุกลามจากหม้อแปลงไฟฟ้าเข้าสู่ตัวอาคารอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ยังไม่ทราบชะตากรรมเพื่อนร่วมงานตนอีก 2 คน เป็นชาย 1 คนและหญิง 1 คนซึ่งกำลังทำงานอยู่ในตึก
ต่อมาพนักงานสอบสวน ได้รับการยืนยันพบศพผู้เสียชีวิต จำนวน 2 ราย ติดอยู่ที่ชั้นวางสินค้า ด้านล่างของอาคารดังกล่าว 1 ราย ส่วนอีก 1 ราย พบศพอยู่ที่ชั้นบน โดยเบื้องต้นยังไม่สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลได้ ส่วนลูกจ้างเพศชายที่สูญหายชื่อนายเพชรเดือน (ยังไม่ทราบนามสกุล) อายุ 34 ปี และลูกจ้างเพศหญิงชื่อ น.ส.จิรภัทร สุ่มมาก อายุ 52 ปี เจ้าหน้าที่จึงกันพื้นที่ไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปเกี่ยวข้อง เนื่องจากเกรงว่าอาคารจะทรุดตัว และต้องรอให้อาคารดังกล่าวคลายความร้อนลง ก่อนจะพาเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบด้านในอย่างละเอียดอีกครั้ง
ต่อมาเวลา 16.30 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพื่อติดตามความเสียหายและแนวทางการแก้ไขปัญหา
นายชัชชาติ เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้รับรายงานว่ามีอาคารที่ได้รับความเสียหาย 6 คูหา โดยมี 1 คูหา ที่พบว่าพื้นชั้นสองทรุดตัวลงมา ส่วนสาเหตุเกิดจากหม้อแปลงระเบิดลุกลามเข้าไปด้านในตัวอาคาร ประกอบกับมีสายไฟจำนวนมาก จะสังเกตได้ว่าเหลือแต่สายทองแดงซึ่งเป็นตัวการไฟลุกลาม นอกจากนี้ ในตึกยังมีพลาสติกจึงทำให้เกิดไฟลุกลามเร็วมาก อย่างไรก็ตาม ต้องมีการทบทวนหน่วยงานของภาครัฐ ได้แก่ อุปกรณ์หม้อแปลง สายไฟด้านนอก ทางกรุงเทพมหานครมีนโยบายที่ต้องตัดสายทิ้งอยู่แล้ว ต้องรีบเร่งตัดสายที่ไม่ใช้เพราะสามารถติดไฟได้ ส่วนภายในอาคารเจ้าของแต่ละแห่งต้องทำการตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้ามีอยู่ในมาตรฐานที่ดีหรือไม่ อาคารที่มีความเสี่ยงมากขึ้นเป็นอาคารที่มีเชื้อเพลิงภายในจำนวนมาก เช่น อาคารที่ใช้เก็บวัตถุไวไฟ
นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า จากนี้ตนจะประสานกับการไฟฟ้านครหลวง กรณีดังกล่าวถือเป็นบทเรียนราคาแพงที่ต้องนำไปปรับปรุง และเป็นหน้าที่ที่การไฟฟ้าต้องช่วยดูด้วย ซึ่งต้องประสานงานอย่างเข้มข้น กรุงเทพมหานครจะให้แต่ละเขตสำรวจจุดเสี่ยงเพิ่มเติม และใช้แพลตฟอร์มที่มีส่วนช่วยในการแจ้งเหตุ ทั้งนี้ ยืนยันว่ากรุงเทพมหานครยินดีช่วยเหลือผู้เสียหายอย่างเต็มที่ และจะหารือกับทางการไฟฟ้าฯ หลายเรื่อง เช่น ไฟดับตามถนน ไฟแสงสว่าง ความปลอดภัยเรื่องหม้อแปลง อย่างกรณีสายสื่อสารอยู่เสาไฟฟ้าปักอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ภายในอาทิตย์หน้า ส่วนเรื่องความเสียหายนั้นอาจต้องแจ้งความกับเจ้าหน้าที่กรณีมีทรัพย์สินเสียหาย แต่ต้องดูรายละเอียดว่าทางกรุงเทพมหานครจะช่วยเหลือได้อย่างไรบ้าง
ส่วนกรณีเกิดเหตุในพื้นที่สำเพ็งซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจสำคัญจะให้ความเชื่อมั่นกับประชาชนอย่างไรนั้น ต้องมองไปที่อนาคตต้องมองว่ากรณีดังกล่าวถือเป็นบทเรียนราคาแพงที่ต้องนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น หวังว่าเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นซ้ำซากอีก ตนเชื่อว่าการไฟฟ้านครหลวงมีศักยภาพที่จะดูแลชีวิตพี่น้องประชาชน ซึ่งเรานำกรณีดังกล่าวร่วมหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไป
#ไฟไหม้สำเพ็ง
#ชัชชาติสิทธิพันธุ์ #ผู้ว่าฯกทม
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์