บันทึกเยี่ยม สมบัติ - ตะวัน : "สมบัติ" เป็นห่วงครอบครัวข้างนอก แต่กำลังใจยังดี ขณะ "ตะวัน" ยังอดอาหารต่อ แม้จะวูบ หน้ามืดทุกวันอาการอาจทรุดหากยังถูกฝากขังผลัดหน้า
บันทึกเยี่ยม
สมบัติ ทองย้อย และ “ตะวัน” ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2565 ก่อนวันหยุดยาวที่ทั้งคู่จะไม่สามารถพูดคุยกับทนายได้
จนถึงตอนนี้
สมบัติถูกคุมขังเป็นเวลา 18 วัน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2565 ในขณะที่ตะวันถูกคุมขังเป็นเวลา 26 วัน
ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2565
โดยเธอยังเลือกที่จะอดอาหารเพื่อยืนยันเจตนารมณ์ว่า สิ่งที่เธอทำนั้นไม่ใช่ความผิด
สมบัติ
ทองย้อย เล่าให้ทนายฟังว่า เขาเพิ่งถูกย้ายมาที่แดน 4
หลังจากที่ผ่านช่วงถูกกักตัว และตรวจโควิดแล้ว ผลยังเป็นลบ
โชคดีที่เจอเพื่อนร่วมห้องขังน่ารัก เป็นคนที่สนใจการเมืองคล้ายๆ กัน
ทำให้พอมีเพื่อนคุย
อย่างไรก็ตาม
เขายอมรับว่ายังมีความเครียดเกี่ยวกับเรื่องงาน ภาระต่างๆ
ที่มีอยู่จำต้องปล่อยให้ภรรยาและลูกสาวจัดการ ถ้าได้ประกันตัวออกไป
ก็อยากจะไปเคลียร์ให้เรียบร้อย กังวลว่าตัวเองจะเป็นภาระให้คนรอบตัว
ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย สมบัติพูดตลอดเวลาระหว่างพูดคุยว่า
ไม่ต้องเป็นห่วงเขา อยู่ข้างในเขาสบายดี อาจจะสบายกว่าคนข้างนอก
เพราะคนข้างนอกต้องต่อสู้ คงลำบากกว่าตัวเองแน่ๆ
สมบัติบอกอีกว่า
เขาได้รับข้อความให้กำลังใจจากคนข้างนอกแล้ว กำลังใจท้วมท้น
ไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องเดินทางมาเยี่ยมถึงเรือนจำ
เเค่ส่งข้อความฝากมาหรือส่งจดหมายมาก็ดีใจมากๆ อยากให้เอาเงินค่าเดินทางไปช่วยเหลือ
ใช้จ่ายในครอบครัวตัวเองดีกว่า เพราะตอนนี้เศรษฐกิจแย่ไปหมด
สมบัติได้ฝากข้อความบอกคนข้างนอกอีกด้วยว่า
ฝากความคิดถึงถึงทุกคน ทั้งมวลชนที่ให้ความช่วยเหลือ
เขาเองก็หวังว่าจะได้ออกไปพบกับทุกคนไม่ช้าก็เร็ววันนี้
“อยากบอกทุกคนว่า ขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งพี่น้องมวลชน ทีมทนาย ทุกๆ คน
รวมถึงคนที่ช่วยเหลือทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ขอบคุณด้วยหัวใจจริงๆ
รักและคิดถึงทุกคนเสมอ”
“ขอให้ทุกคนเข้มเเข็ง ไม่ช้าก็เร็วคงได้เจอกัน”
ทนายความเริ่มต้นบทสนทนากับทานตะวันด้วยการถามเกี่ยวกับสถานการณ์และชีวิตในเรือนจำ
ตะวันแจ้งว่า“หนูติดเหา! โอ้ยย เครียดมาก เจ้าหน้าที่เขาก็พาหนูไปหมักผมฆ่าเหามา
คือด้วยสภาพความเป็นอยู่ข้างในที่มันแออัด ต้องนอนเอาหัวชนกัน เลยติดเหากันได้
มันเป็นปัญหามากๆ นะ และเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขด้วย”
สิ่งที่คนข้างนอกเป็นห่วงมากๆ
ก็คือเรื่องที่ตะวันอดอาหารเป็นเวลานานหลายวัน เคยถึงกับวูบไป
แต่ตะวันยังแน่วแน่ว่า เธอจะยังจะยึดแนวทางเดิมต่อไป
เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เธอทำไม่ใช่ความผิด
“อาการหน้ามืดกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับหนูไปแล้วพี่
ตอนนี้คือหนูหน้ามืดวันละ 2 ครั้ง เป็นเรื่องปกติ
เลยต้องพกยาดม เพื่อนบอกไว่ว่าให้พกไว้ กลัวเป็นลม”
“หนูตั้งใจจะอดอาหารจนกว่าจะได้รับการประกันตัวออก
เพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด”
“ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงหนูมากๆ นะคะ”
การเยี่ยมครั้งนี้เป็นการเยี่ยมก่อนวันหยุดยาว
ทนายสะท้อนถึงความเป็นห่วง เพราะกว่าจะเยี่ยมได้อีกครั้งก็อีกสี่ห้าวัน
ตะวันย้ำว่า เธอจะพยายามดูแลตัวเอง แต่ก็กังวลว่า ด้วยสภาพร่างกายตอนนี้
เธออาจจะไม่สามารถประคองตัวเองจนผ่านพ้นการฝากขังผัดหน้าไปได้
“หนูจะพยายามไม่เป็นอะไร หมอดูทักว่าให้ระวังล้ม หนูก็ระวังตัวเอง”
“ไม่รู้ร่างกายจะไหวถึงวันอังคารไหม แล้วถ้ายังฝากขังอีก
หนูก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทนได้จนพ้นฝากขังผัดหน้าไหม”
โดยคดีของตะวันจะครบฝากขังผัดที่ 6 ในวันที่ 17 พ.ค. นี้ ต้องติดตามว่าพนักงานสอบสวนจะยื่นขอฝากขังต่ออีกหรือไม่
เมื่อถามว่า
ตะวันมีอะไรที่อยากจะเล่าอีกไหม
เป็นการทิ้งท้ายก่อนหยุดยาวที่เธอจะไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกได้
ตะวันเลยเล่าเกี่ยวกับความฝันของเธอ – ฝันที่เธอได้เป็นอิสระออกไปจากกรงขัง
วันที่ได้เจอกับพ่อแม่ ได้ทานข้าวด้วยกัน ทว่าก็ต้องเจ็บปวดเมื่อตื่นมาพบกับความจริง
“เมื่อคืนนี้หนูฝัน ฝันเหมือนจริงมากๆ
ฝันว่าได้ออกไปข้างนอกแล้วแม่เอาอาหารมาให้ ได้กินข้าวกับพ่อแม่ มีความสุขมาก
แต่พอหนูตื่นขึ้นมา พบว่าตัวเองยังอยู่ในคุก อารมณ์มันก็ดิ่ง มันดาวน์ไปหมด
แล้วหนูก็คิดไปถึงวันที่ 20 เมษา
ก่อนหนูออกจากบ้านไปฟังผลที่ศาล หนูบอกกับแม่ไว้ว่า ‘เดี๋ยวกลับมาหา’ จนถึงตอนนี้ 23 วัน แล้วที่หนูยังอยู่ในคุก 23
วันที่ยังไม่ได้กลับไปหาแม่อย่างที่รับปากไว้”
“คิดถึงแม่กับพ่อมากๆ คิดถึงบ้านมากๆ พี่” ตะวันพูดเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอ
พยายามที่จะไม่ร้องไห้
ที่มาภาพและข่าว : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
#มาตรา112 #ทานตะวัน #ตะวัน #สมบัติทองย้อย
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์