งานไว้อาลัย
#วัฒน์วรรลยางกูร
เพียงคำ
ประดับความ กวีเพื่อชีวิต : อาลัย “วัฒน์ วรรลยางกูร”
ก่อนจะอ่านบทกวี
อยากจะกล่าวอะไรถึงพี่วัฒน์สักนิดหนึ่งนะคะ
ในฐานะของคนที่อ่านหนังสือของพี่วัฒน์ตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย แล้วก็มารู้สึกว่ามันมีผลต่อความคิดของเรามาก
ๆ ก็ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย พี่วัฒน์ถือเป็นนักเขียนที่อยู่ในใจเรามากที่สุด
และมีอิทธิพลต่อความคิดของเรา พอมาปี 2552 เราก็ได้มีโอกาสเจอกัน
เราก็เป็นมวลชนคนหนึ่งไปที่ชุมนุมในตอนนั้น วันหนึ่งนักเขียนที่เราศรัทธามาตลอดก็เดินขึ้นเวทีประกาศตัวว่ามีจุดยืนที่ชัดเจน
ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าตัวหนังสือทุกตัวที่เราอ่านเขามานี้เราไม่เคยผิดหวังเลย
ได้มีโอกาสมาทำงานเคลื่อนไหวร่วมกับพี่วัฒน์จริง
ๆ ในปี 2553 หลังการล้อมปราบเดือนเมษาพฤษภา53 ตัวดิฉันกับกลุ่มเพื่อน
ๆ ได้รวมกลุ่มกันขึ้นมาและมีการจัดประกวดบทกวีในหมู่พี่น้องประชาชนเพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกของเราในช่วงนั้นที่มีคนตายมากมาย
ในบรรดาพวกเราทั้งหมดไม่มีใครมีชื่อเสียง เราก็คุยกันว่าเราจะหาใครมาช่วยทำให้เสียงของพวกเราดังขึ้น
คนแรกที่เรานึกถึงก็คือพี่วัฒน์ เราติดต่อไป ตอนนั้นบทกวีที่จัดประกวดเราใช้ชื่อ ฟรีไรซ์อวอร์ด
พี่วัฒน์เป็นนักเขียนที่เข้ารอบการประกวดซีไรซ์เยอะมากแต่ว่าไม่เคยชนะรางวัล
จนแกได้ฉายาว่าเป็นนักเขียนซีรอง ทีนี้เราก็บอกแกว่าเราอยากจัดประกวดบทกวีนี้เราจะใช้ชื่อรางวัลซีรอง
แกบอกว่าไม่ต้อง ใช้ซีรองทำไม เท่ากับเราเป็นรองเขา เราก็เอาใช้ชื่อที่พี่วัฒน์ให้มาคือ
บทกวีฟรีไรซ์อวอร์ด โดยพี่วัฒน์เป็นหัวหอกในการจัดวันนั้น
หลังจากนั้นเราก็ได้เคลื่อนไหวร่วมกันในนามกลุ่มนวไพร่
เดินทางไปร่วมเคลื่อนไหวตามต่างจังหวัด ขับเคลื่อนในแนวรบศิลปวัฒนธรรม
ตลอดเวลาที่ดิฉันคิดถึงพี่วัฒน์
ก็คือทุกครั้งที่โทรไป พี่วัฒน์ไม่เคยถามเลยว่ามีใครบ้างที่มาร่วมเคลื่อนไหวด้วย
ในขณะที่ถ้าใครที่อยู่ในวงการเคลื่อนไหวจะทราบว่าเวลาที่ไปตรวจสอบคนมีชื่อเสียงต่าง
ๆ เขามักจะถามว่ามีใครบ้าง ชื่อชั้นอยู่ไหน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพี่วัฒน์ไม่เคยถามเลย
พี่วัฒน์เป็นนักเขียนที่ดิฉันไม่เคยต้องใช้กระไดปืนไปคุยกับเขา ทำให้เรารู้สึกว่าเราเท่ากัน
ในวันนี้คือดิฉันไม่ได้มางานเคลื่อนไหวนานมากแล้ว
หลายปีแล้ว แต่วันนี้เป็นงานของพี่วัฒน์ อยากจะบอกว่าครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันน่าจะเป็นที่โรงแรมแถว
ๆ ประดิพัทธ์ เราจัดงานรำลึกให้กับกวีที่ถูกยิงเสียชีวิตในปีนั้น
นั้นก็คือคุณไม้หนึ่ง ก.กุนที นั่นก็คือครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน
ก่อนหน้านั้นพี่วัฒน์ก็ได้เคยพูดเล่น ๆ ว่าถ้าเกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ตัวใครตัวมันนะเว้ย!
แต่ตอนนั้นเราไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ๆ คิดว่ารัฐประหาร 19กันยา2549 เป็นครั้งสุดท้ายของประเทศไทยแล้ว
แต่มันก็มี 22พฤษภา2557 จากนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันเลย
จนมาเมื่อเราได้ทราบข่าว วันนี้อยากอ่านบทกวีที่รำลึกถึง
คือมันไม่มีคำพูดไหนที่จะพูดแทนความรู้สึกของดิฉันได้นะคะ
ชื่อบทกวี
“จากตำบลช่อมะกอกถึงปารีส”
อีกตำนานปากกาประชาชน
คือหนึ่งคนเขียนหนังสือสร้างไฟฝัน
คือรักและหวังว่าจะพบกัน
ด้วยรักและอุดมการณ์จึงลาไกล
จากตำบลช่อมะกอกถึงปารีส
เสียงจิ้งหรีดกับดวงดาวได้ยินไหม
ฉากและชีวิตปิดลงตรงที่ใด
บนเส้นลวดขึ้นปีนป่ายหมายพลิกฟ้า
ฉากและชีวิตปิดลงตรงที่ใด
บนเส้นลวดขึ้นปีนป่ายหมายพลิกฟ้า
ฝันให้ไกลไปให้ถึงจึงพรากจาก
กี่ทุกข์ยากถาโถมใส่ไม่ห่วงหา
สิงห์สาโทยังยืนเด่นอหังกา
ทระนงทายท้าเผด็จการ
สิงห์สาโทยังยืนเด่นอหังกา
ทระนงทายท้าชะตากรรม
ขึ้นรถไฟสังกะสีสู่กระท่อมเสรีภาพ
พรุ่งนี้ฝูงพิราบจะกลับมาเมื่อฟ้าค่ำ
มนต์รักทรานซิสเตอร์ยังสดใสและร่ายรำ
ทุกถ้อยเพียงคำกระจ่ายชัด
“วัฒน์ วรรลยางกูร”
มนต์รักทรานซิสเตอร์ยังสดใสและร่ายรำ
ทุกถ้อยเพียงคำกระจ่ายชัดถึง
“วัฒน์ วรรลยางกูร”
ขอบคุณค่ะ
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์