#12ปีรำลึกเมษาพฤษภา53
ครอบครัว
“ฟุ้งกลิ่นจันทร์” :
12ปียังไม่มีความยุติธรรม วีรชน เมษา-พฤษภา 53
นายเทิดศักดิ์
ฟุ้งกลิ่นจันทร์ หรือน้องโบ๊ท หนึ่งในวีรชนคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนวันที่
10 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 20 นาฬิกาเศษ บริเวณแยกคอกวัว จากการถูกยิงที่หน้าอก
ในวาระ
#12ปีรำลึกเมษาพฤษภา53 “ยูดีดีนิวส์”
ได้มีโอกาสสนทนากับพ่อ-แม่ของเทิดศักดิ์ จึงขอนำเรื่องราวคำบอกเล่าจริงมานำเสนอ นับเป็นความสูญเสียของครอบครัว
“ฟุ้งกลิ่นจันทร์” และเป็นประวัติศาสตร์ประชาชนอีกหน้าหนึ่ง ซึ่งจะเป็นที่จดจำในสังคมไทยต่อไป
นางสุวิมล
ฟุ้งกลิ่นจันทร์ แม่ของ “โบ๊ท เทิดศักดิ์” ซึ่งปัจจุบันได้เปิดร้านอาหารตามสั่งและรับทำข้าวกล่อง
บริการส่งฟรี โดยร้านตั้งอยู่ที่หมู่บ้านพฤกษา D รังสิต-คลองสาม อำเภอคลองหลวง
จ.ปทุมธานี โทร. 0813484940 และ 0868880311 ซึ่งทีมงานติดใจฝีมือผัดไทย
บอกว่าอร่อยมาก! เธอเริ่มเล่าที่มาของชื่อร้านอาหารว่า “ก่อนลูกชายเสียชีวิตเขามีความตั้งใจ
“เขาอยากให้แม่ขายอาหาร อยากให้แม่มีร้านขายอาหารเป็นของตัวเอง
ก็เลยเอาชื่อเขามาตั้งเป็นชื่อร้าน”
แม่โบ๊ทเล่าให้ทีมงานฟังว่า เริ่มแรกเลยทีเดียวพ่อ-แม่ก็ยังไม่ได้สนใจการเมืองกัน ค้าขายอย่างเดียว ไม่ได้ยุ่งเรื่องการเมืองอะไรเท่าไร มีฟังปราศรัยบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงที่นายกฯ ทักษิณ โดนยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน โบ๊ทลงมาเห็นข่าวปุ๊บชี้เลยว่าทำไมมันเป็นแบบนี้ คือเริ่มจุดประกายว่ามันไม่มีความยุติธรรมแบบนี้ ตั้งแต่นั้นเขาก็ออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลัง ๆ เขาก็มาชวนพ่อ-แม่ไปด้วย รถมอเตอร์ไซด์ของเขานี่แม่ยังนั่งซ้อนท้ายไม่ได้เลย เขาจะเอาธงมาติดแล้วก็ขี่ไป เขาบอกว่าเขามีความสุข เขาบอกว่ามันไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาคงเห็นว่าตอนสมัยที่ท่านนายกฯ ทักษิณอยู่บ้านเมืองมันเจริญรุ่งเรือง มองจากเศรษฐกิจการค้าขายและหลาย ๆ อย่าง พอเขามาเห็นข่าวอย่างนี้ เหมือนเขาโมโหก็เลยออกไป เลยเป็นที่มาของการเสียชีวิต!
นางสุวิมล
เล่าต่อไปว่า ตนยังจำได้เลย เพื่อนที่ไปด้วยกันเขาบอกว่า “แม่ ไอ้โบ๊ทนะ
ผมดึงมันออกแล้ว มันไม่ยอมออก มันบอกช่วยเขาก่อน ต้านมันไว้อย่าให้มันเข้ามา
(ทหารน่ะ)” คนเราไปมือเปล่า ไม่มีอะไร ไม่ได้เรียนอะไรที่เกี่ยวกับการต่อสู้แม้แต่นิดเดียว
แต่ “ต้านมันไว้อย่าให้มันเข้ามา” โบ๊ทพูดอย่างนี้
พ่อ-แม่
“โบ๊ท เทิดศักดิ์” ได้พาทีมงานชมห้องของลูกชาย
ซึ่งได้เก็บทุกอย่างของลูกไว้ในสภาพเดิม นอกจากนี้นางสุวิมลได้เขียนข้อความต่าง ๆ
ถึงลูกชายไว้ที่ประตูด้านในห้อง รวมทั้งเขียนบนกระดาษขนาดใหญ่ ซึ่งนายบรรเจิด
ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ผู้เป็นพ่อเทิดศักดิ์ เล่าว่า “เวลาแม่เขาอยู่คนเดียว
ก็จะเขียนของเขานั่นแหละ” นอกจากนี้ยังมีของที่ระลึกในการร่วมชุมนุมกับแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
(นปช.) ของลูกชายเก็บรักษาไว้อย่างดี ที่สำคัญยังมีภาพถ่ายลูกชายที่ถูกยิงอย่างละเอียดติดบอร์ดเอาไว้ด้วย
แม่
“โบ๊ท เทิดศักดิ์” เล่าต่อว่า คือเราเลี้ยงดูลูกแบบประชาธิปไตยนะ ลูกอยากได้อะไร
อย่างทำอะไร เราก็จะแนะนำสั่งสอนเขา วันที่ 10เมษา เขาไปทำงานบริษัท
แล้วเขาก็บอกว่า “แม่-พ่อ เดี๋ยวเย็นเราเจอกันที่ราชประสงค์นะ” พอมืดแล้วก็ไปนั่งรอลูกที่ราชประสงค์
ลูกก็ยังไม่มา ก็นั่งรอจนกระทั่งตี 1
แต่ระหว่างนั้นแม่ก็โทรหาเขาว่าโบ๊ทอยู่ไหนลูก? ตอนนั้นเวลาประมาณเกือบ 2 ทุ่ม
(19.54 น.) เขาก็ตอบกลับมาว่าอยู่ถนนข้าวสาร อยู่กับพี่เล เราก็คิดว่าลูกคงยุ่งมั้ง
คือได้ยินเสียงเขาตะโกนเข้ามาในโทรศัพท์เราว่า “เฮ้ย ๆ ๆ อย่าปามาเดี๋ยวโดนพวกเรา”
เราก็ไม่รู้ เพราะว่าเขาไปกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ติดกันเลย
หลังจากนั้นก็เงียบไป เราก็เลยวางโทรศัพท์เพราะคิดว่าลูกคงยุ่งอยู่
ตอนหลังโทรกลับไปอีก 2-3 ครั้ง ก็ไม่ติด มารู้อีกทีตอนตี 1
หมอโทรมาบอกว่าลูกคุณถูกยิง หายใจรวยริน ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลราชวิถี
เราก็เลยปลุกพ่อเขาที่นอนอยู่ ก็รีบไปดูลูก ถูกยิง 6 นัด ตามภาพ
จากการที่สูญเสียแบบนี้
เราบอกตรง ๆ ว่าเราไม่อาจลืมได้ ไม่ว่าจะเป็นกี่ปี ลูกเราไม่ได้ทำความผิดอะไร
เราแค่เป็นประชาชน เราก็อยากไปเรียกร้องตามสิทธิเสรีภาพของเรา
แต่เจ้าหน้าที่รัฐกลับมาทำกับประชาชนแบบนี้ แล้วก็เงียบหาย พยายามกลบคดีอะไรต่าง ๆ
ทุกสิ่งทุกอย่าง แม่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราจะได้รับความยุติธรรม ผู้แม่แม่กล่าว
เราไปมือเปล่า
ทหารมีอาวุธครบมือ อาวุธสงครามครบ
เราก็ไม่เคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับชีวิตเราเนอะ เหมือนหนัง แต่มันคือเรื่องจริง
แต่ก็ภูมิใจนะเพราะเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เกิดมาเพื่อการต่อสู้ ปี 52
ก็ทีหนึ่งแล้ว โป๊ทก็ไปวิ่งเย้วกับทหารเหมือนกัน แม่โบ๊ทเล่าถึงลูกชายสุดที่รัก
นายบรรเจิดผู้เป็นพ่อ
เล่าตามความเชื่อว่า “เราตามลูกไปตลอด ยังไง ๆ เขาก็ต้องไปจากพ่อ-แม่
เหมือนกับว่ามีอะไรมากั้นทุกสิ่งทุกอย่าง” แม่โบ๊ทเสริมว่า แต่ตอนที่โทรศัพท์คุยกับลูกวันนี้นก็ไม่ได้ยินเสียงปืนนะ
ไม่ได้ยินเลย แต่เพื่อนที่ไปด้วยกันบอกว่า “ตอนที่แม่โทรหามันน่ะ ผมก็อยู่กับมัน เขายิงกันแล้ว
ระเบิดลงแล้วด้วย” แต่เราไม่ได้ยินเสียง ได้ยินเสียงแค่พูดคุยกับลูกเฉย ๆ
นายบรรเจิดเลยกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องจริง อาจจะมีอะไรสักอย่าง พูดง่าย ๆ
ว่าไม่อยากให้พ่อ-แม่ลุกออกจากตรงนั้น” จนกระทั่งตี 1 หมอเอาโทรศัพท์ลูกชายโทรมาหา
เราก็คิดว่าลูกชายโทรมา คนเป็นแม่เนอะ เห็นเบอร์โทรศัพท์ลูกชายก็ดีใจ รีบรับ
แต่มันไม่ใช่เสียงลูกเรา หัวใจมันจะหยุดเต้นเลยนะวันนั้น แต่เราก็ต้องทนรับสายซึ่งตามเสียงบอกว่า
“นี่เป็นนางพยาบาลค่ะ เวลานี้ลูกคุณถูกยิง หายใจรวยริน” เราก็ไม่รู้ว่าหายใจรวยรินนั้นมันคือ
“กำลังจะตาย”
พวกเราก็ตามไปที่โรงพยาบาล
ได้เจอกับหมอที่ผ่าตัดเอากระสุนปืนออก พบกว่าถูกยิง 6 นัด ทะลุและฝังที่หัวใจ
เราก็ได้เห็นลูกครั้งสุดท้าย ทำไมมันเหมือนในหนังจังเลย
แม่ก็เลยไปพูดที่ข้างหูเขาว่า “โบ๊ท แม่มาแล้วนะลูก แม่มาแล้วนะ”
เครื่องวัดหัวใจมันก็ขึ้นไปอยู่ที่ 80-90 เราก็ดีใจนะ คิดว่าลูกเราไม่เป็นอะไรแล้ว
สักพักเดียวมันก็ตกลงมาที่เลข 0 หมอก็บอกว่าพอแล้วนะ แค่นี้นะ
เขาก็เอาศพลงไปไว้ที่ห้องเก็บศพข้างล่าง ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณตี 4 เจ้าหน้าที่ห้องเก็บศพบอกว่าให้พ่อ-แม่มารับศพเวลา
8 โมงนะ
จากนั้นพวกเราก็ไปแจ้งที่นปช.ว่า
เวลานี้ลูกเราถูกยิงเสียชีวิต ตอนนี้อยู่ที่รพ.ราชวิถี ตอนนั้นทางนปช.เขาก็รีบไล่ให้กลับไปเฝ้าศพไว้
เราก็ตกใจรีบย้อนกลับมาที่รพ.ราชวิถี ปรากฏพบว่ามีรถตำรวจมาและเจ้าหน้าที่ก็กำลังเข็นศพลูกเรา
ก็เลยถามกับตำรวจว่าจะเอาศพไปไหน? คือทราบมาว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีการพยายามทำลายหลักฐาน
เก็บศพ แย่งศพกัน เราก็ใจไม่ดีเลย ถ้าเป็นตาสีตาสาไม่รู้เรื่องอะไรบอกให้เรามา 8
โมง ถ้าเรามา 8 โมง แล้วเราจะเจอลูกเรามั้ย? แล้วมีศพเดียวด้วยที่อยู่ที่นั่น
แม่เทิดศักดิ์เล่าอย่างไม่เคยลืม
นางสุวิมลเล่าให้ทีมงานฟังว่า
หลังจากวันที่ลูกชายเสียชีวิต พ่อเขาก็ใส่บาตรทำบุญทุกวัน จนถึงบัดนี้ พอถึงวันที่
10เมษา เราก็จะมีความรู้สึกว่าวันนี้มันกลับมาเยือนเราอีกแล้วเหรอ
เป็นวันที่โหดร้ายมาก เป็นวันที่ต้องจดจำ บางทีเราก็จะพูดกับรูปลูก จุดธูปบอกเขา
เอาดอกไม้มาวาง แล้วก็บอกว่าวันนี้ครบแล้วนะลูก เราก็จะไปทำบุญให้เขา
แล้วก็ไปงานรำลึกกัน
ในส่วนเรื่องคดีความ
นายบรรเจิด กล่าวว่า ทางทนายความ คุณโชคชัย อ่างแก้ว ก็ติดตามอยู่ตลอด
แต่สิ่งที่ยังไม่กระเตื้องก็คือมีรัฐบาลที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเก็บไว้ในลิ้นชัก
ไม่ยอมเอาออกมาเผยให้เด็กคนรุ่นใหม่ได้รับรู้ว่าคดีของพวกเราไปถึงไหนแล้ว
อยากให้เจ้าหน้าที่รัฐที่รัฐบาลชุดนี้เป็นคนกำกับและยับยั้งไม่ให้ดำเนินคดี
ให้ออกมาทำให้มันเป็นคดีที่ให้ประชาชนส่วนใหญ่เขารับรู้ว่ารัฐบาลชุดนี้ทำคดีอย่างโปร่งใส
ไม่เก็บไว้ในลิ้นชัก ให้ประชาชนพี่น้องคนเสื้อแดงและญาติผู้สูญเสียได้มีความชื่นใจ
มีความหวังว่าคนที่ทำผิดต้องออกมารับผิดชอบรับโทษที่เขาได้กระทำลงไป
ถ้าถามว่าท้อไม้ ตอบว่าท้อ แต่ความอดทนสูงกว่า คืออดทนรอ
ผู้เป็นแม่กล่าวว่า
ถ้าเราเสพข่าวในบ้านเมืองเราก็จะรู้ว่า แม้กระทั่งคดีที่ใหญ่ ๆ โต ๆ
เขายังทำได้เลย เขายังเฉย ไม่สะทกสะท้าน ไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น
มันเหมือนเราไม่ได้อยู่ประเทศไทยนะ
ทำไมเรามีความรู้สึกเหมือนเราอยู่ประเทศที่มันแบบด้อยพัฒนา ด้อยลงไปอีก
จะไปเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านก็ไม่ได้
เพราะเดี๋ยวนี้เพื่อนบ้านเขาเจริญรุ่งเรือง ก็คงเป็นกระบวนการของเขาที่สั่งมาว่าคดีพวกนี้เอาเก็บไปเลย
ไม่ต้องเอาขึ้นมา คนตามก็ต้องคอยตาม คอยเสนอ คอยยื่นเอกสารทวงถามกันต่อไป เขาไม่เคยรับผิดชอบ
พูดกันอย่างบ้าน ๆ ก็ “คนหน้าด้าน” น่ะ
พ่อกล่าวทิ้งท้ายว่า
ตนดีใจและบอกลูกอยู่เสมอว่า “โบ๊ท มีน้อง ๆ ที่มาช่วย ค้นหาความจริง
แล้วจะเอาความจริงนี้ให้ปรากฏสื่อประชาชนในประเทศไทยเร็ว ๆ นี้ครับ
อยากให้ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย 100%
และอยากฝากไปถึงผู้ที่กระทำความผิดให้รับผิดชอบเรื่องคดีความของวีรชนเมษา-พฤษภา ในปี
53 และอยากให้เด็กคนรุ่นใหม่ที่เดินหาประชาธิปไตย ช่วยขุดคุ้ยคดีของประชาชนที่ถูกยิงบาดเจ็บล้มตายและติดคุกให้สู่อิสรภาพด้วยครับ”
นางสุวิมลกล่าวเสริมว่า
“ยังไงเราก็ต้องฝากคนรุ่นหลังเรา คนไหนที่รักความยุติธรรม รักความเป็นธรรม
ใฝ่หาประชาธิปไตยให้บ้านเมือง อยากเห็นบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง
ถ้าหมดรุ่นเราแล้วก็ขอฝากรุ่นหลัง ๆ รุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลาน
ให้คอยทวงความยุติธรรมให้กับคนเสื้อแดงที่เขาสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นคนตาย คนบาดเจ็บ
หรือคนที่ติดคุก
เราก็อยากจะฝากเขาว่าช่วยเปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยหน่อย” เธอพูดอย่างมีความหวัง
นอกจากนี้
แม่ “โบ๊ท เทิดศักดิ์”
พูดให้กำลังใจครอบครัวอื่นที่สูญเสียบุคคลอันที่เป็นรักในการต่อสู้ของประชาชนว่า “เราเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นคนที่สูญเสียลูกหรือพ่อแม่พี่น้อง
หรือคนที่สูญเสียญาติพี่น้องแต่ยังหาศพไม่ได้ เงินเยียวยาก็ไม่ได้ทั้งสิ้น
ก็เป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน ในฐานะคนสูญเสียเหมือนกัน เราก็ต้องอดทนในสภาพแบบนี้
แต่เราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มันจะหมดจากสภาพนี้
อดทนต่อสิ่งที่ไม่มีความเป็นธรรมให้กับเราเลย”
สำหรับนายบรรเจิด
ได้กล่าวถึงแกนนำนปช. ว่าตนดีใจที่แกนนำนปช.ก็คิดถึงทุกปี ไม่มีการลดละ แม้ปีไหนมีความยากลำบากในการจัดงาน
เขาก็มีการทำบุญให้ ด้านนางสุวิมลผู้เป็นแม่ของเทิดศักดิ์ ได้กล่าวขอบคุณอาจารย์ธิดา,
คุณณัฐวุฒิ ขอบคุณแกนนำทุกคนที่ยังคิดถึงนึกถึงวีรชนผู้สูญเสีย” พูดถึงตรงนี้เธอก็พูดต่อไม่ได้
ผู้เป็นพ่อจึงกล่าวต่อว่า “เราก็อยากให้ทำอย่างนี้ทุก
ๆ ปี จนกว่าจะหาความยุติธรรมคืนมาให้พี่น้องคนเสื้อแดงและญาติวีรชนทุกคนครับ”
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ
“เทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์” และพ่อ-แม่ ครอบครัวที่ยังเหลืออยู่ซึ่งต้องดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีความหวังว่า
สักวันหนึ่งกระบวนการยุติธรรมไทยจะให้ความยุติธรรมกับครอบครัว “ฟุ้งกลิ่นจันทร์”
และครอบครัววีรชน “คนเสื้อแดง” ผู้สูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป
รวมทั้งประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
#นปช #คนเสื้อแดง
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์