วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

"รุ้ง"พร้อมแนวร่วมในนามกลุ่ม"ไม่เอาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" ร่วมแถลงค้าน "คำวินิจฉัยศาล รธน." ปลุกร่วมชุมนุมใหญ่ 14 พ.ย.นี้ อนุสาวรีย์ปชต.เคลื่อนไปสนามหลวง ชูธงปฏิรูปเพื่อระบอบปชต.

 


"รุ้ง"พร้อมแนวร่วมในนามกลุ่ม"ไม่เอาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" ร่วมแถลงค้าน "คำวินิจฉัยศาล รธน." ปลุกร่วมชุมนุมใหญ่ 14 พ.ย.นี้ อนุสาวรีย์ปชต.เคลื่อนไปสนามหลวง ชูธงปฏิรูปเพื่อระบอบปชต. 


วันนี้ (13 พ.ย. 64) เวลา 10.30 น. ที่ The Connecion Seminar Center ลาดพร้าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม พร้อมด้วยแนวร่วมราษฎร นายธัชพงศ์​ แกดำ หรือ บอย, นายกรกช แสงเย็นพันธ์ หรือ ปอ กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย (DRG), น.ส.กตัญญู หมื่นคำเรือง หรือ ป่าน กลุ่มทะลุฟ้า ตัวแทนจากคณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.), กลุ่มศาลายาเพื่อประชาธิปไตย และ กลุ่ม Supporter Thailand (SPT)


ร่วมแถลงในนามกลุ่ม"ไม่เอาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" พร้อมอ่านแถลงการณ์ต่อต้านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คดีล้มล้างการปกครอง โดย น.ส.ปนัสยา ยืนยันข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันฯ 10 ข้อ ไม่ได้มีเจตนาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 


โดยแถลงการณ์มีสาระสำคัญโดยสรุปว่า ข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันฯ 10 ข้อ ไม่มีวัตถุประสงค์ในการล้มล้างการปกครอง หรือเปลี่ยนตำแหน่งประมุขให้เป็นอย่างอื่นนอกจากพระมหากษัตริย์


ทั้งนี้ไม่สามารถยอมรับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ใช้อำนาจไม่สุจริต เป็นการอ้างอำนาจตามรัฐธรรมนูญกำจัดศัตรูทางการเมือง ดังนั้นการใช้อำนาจจึงต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย การที่ศาลใช้อำนาจเกินขอบเขต เป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ การใช้อำนาจนี้จึงไม่ถือว่าเป็นที่สุด และเห็นว่าอำนาจนี้ไม่เป็นการผูกพันองค์กรใด


นอกจากนี้ยังได้แจ้งกิจกรรมชุมนุม ของแนวร่วมกลุ่ม "ไม่เอาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" ในวันพรุ่งนี้ วันอาทิตย์ที่ 14 พ.ย. เวลา 15.00 น. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ก่อนจะเดินเคลื่อนขบวนไปยังสนามหลวง


โดยจะใช้สิทธิอย่างสันติ ส่วนจะรุนแรงหรือไม่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของรัฐบาลเอง พร้อมประกาศไม่เอาระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์คือการยกระดับการชุมนุมของประชาชน


📌 แถลงการณ์ต้านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีล้มล้างการปกครอง (ฉบับเต็ม) 


พวกเราขอส่งสารนี้ ถึงพี่น้องประชาชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยทุกท่าน เนื่องด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ต่อข้อเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2563 ศาลได้ วินิจฉัยว่า การกระทำดังกล่าวมีเจตนาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรค 1 และสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม รวมทั้งกลุ่มองค์กร เครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรค 2 พวกเราขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ข้อเรียกร้องของพวกเรา ไม่ได้มีวัตถุประสงค์หรือมีเจตนาเป็นไปเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพวกเราไม่อาจยอมรับคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญนี้ได้


พวกเราขอประกาศยืนยันอย่างเป็นทางการอีกครั้งว่า ด้วยจิตวิญญาณอันยึดมั่นต่อหลักนิติธรรมและหลักการทางกฎหมาย พวกเราเห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนี้ ไม่อาจยอมรับได้ เนื่องจากเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดแย้งอย่างร้ายแรงต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมถึงเป็นการใช้อำนาจโดยไม่สุจริตมีวัตถุประสงค์เพื่ออ้างอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการกำราบปราบปรามศัตรูทางการเมือง


ทั้งนี้ ด้วยเหตุว่า ศาลรัฐธรรมนูญย่อมเป็นศาลที่มีหน้าที่ในการพิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วย รัฐธรรมนูญของการกระทำทั้งหลาย โดยมีคำวินิจฉัยเป็นที่สุด ผูกพันทุกองค์กร ทางสายโลหิตจากพระมหากษัตริย์องค์ก่อนหน้า โดยทรงสถานะเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ ทรงมีพระราชอำนาจแต่ในเชิงพิธีการ ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ประเทศ ทั้งหลายที่ปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ล้วนแต่ประกอบด้วย สาระสาคัญทั้ง 2 ประการข้างต้นทั้งสิ้น โดยแม้อาจมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไป ดังเช่น การได้รับ การจัดสรรงบประมาณรายปีที่แตกต่างกัน การไม่มีส่วนราชการในพระองค์ การไม่มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งความแตกต่างทั้งหลายล้วนแต่เป็นรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งมิอาจถือได้ว่าเป็นสาระสาคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า การเคลื่อนไหวเรียกร้องเพื่อการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ อันมีข้อเรียกร้องเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เป็นอาทิ ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาล้มล้างการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พวกเราขอยืนยันด้วยความสัตย์จริงว่า นับตั้งแต่การประกาศ 10 ข้อเรียกร้องจนถึง ณ วินาทีนี้ ไม่มีซักเสี้ยวลมหายใจเลยที่เจตนาและข้อเรียกร้องทั้ง 10 ข้อ ที่พวกเราได้ประกาศจะเป็นไปเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่สถิตย์แห่งอำนาจอธิปไตย หรือทำลายศักดิ์ศรี สิทธิ และ เสรีภาพของประชาชน หรือปิดกั้นประชาชนจากการใช้อัตตานัติเพื่อกำหนดทิศทางของรัฐ หรือเปลี่ยนตำแหน่งประมุขให้เป็นอื่นจากพระมหากษัตริย์ หรือการเปลี่ยนพระราชอำนาจให้เป็นอื่นไปจากอำนาจเชิงพิธีการ และข้อเรียกร้องทั้ง 10 ประการนั้นไม่มีข้อใดเลยที่เป็นไปตามลักษณะดังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอดีต ที่ 3/2562 ที่ได้วางหลักคำว่า ล้มล้าง ว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อรัฐธรรมนูญและระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญที่สุดวิสัยที่จะแก้ไขให้กลับคืนได้ รวมถึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาที่จะทำลาย หรือล้างให้สูญสลาย หรือสิ้นไป ไม่ให้ดำรงอยู่หรือมีอยู่อีกต่อไป


อย่างไรก็ดี เมื่อพวกเราพิจารณาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนี้ รวมถึงการกระทำทั้งปวงของ องคาพยพชนชั้นนำที่เกิดขึ้นในช่างหลายปีที่ผ่านมา ด้วยหลักแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พวกเราจึงเกิดข้อสงสัย และตั้งข้อสังเกตว่า หรือแท้ที่จริงแล้ว เป็นพวกท่านเองที่กำลังพยายามเปลี่ยนแปลงที่สถิติแห่งอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชน ทำลายศักดิ์ศรี สิทธิ และเสรีภาพ ปิดกั้นประชาชนจากการใช้อัตตานัติเพื่อกำหนดทิศทางทางการเมืองด้วยตนเอง หรือพยายามเปลี่ยนแปลง พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ จากอำนาจเชิงพิธีการสู่อำนาจในรูปแบบอื่น


แท้จริงแล้วคือ พวกท่านเองหรือไม่ที่กำลังพยายามล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พยายามเปลี่ยนแปลงที่สถิตย์แห่งอำนาจอธิปไตย สู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง หรือในความเข้าใจที่แท้จริงของพวกท่าน ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลงนี้เอง คือโฉมหน้าที่จริงแท้ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่พวกท่านกำลังวาดหวังตั้งแต่ต้น


นอกจากเหตุผลข้างต้นที่ทาให้พวกเราไม่อาจยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ในคำตัดสินของศาล พวกเราเห็นว่ามีข้อเท็จจริงหลายประการที่ศาสนามาใช้ประกอบการพิจารณาคดี และสนับสนุนคำวินิจฉัยโดยที่พวกเรามิได้มีโอกาสในการเสนอพยานหลักฐานเพื่อยืนยันหรือหักล้างข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งนี้ พวกเราไม่อาจทราบได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญได้ข้อมูลดังกล่าวมาจากที่ใดและเมื่อใด แต่ที่พวกเราทราบอย่างแน่แท้คือ แม้พวกเราจะได้ยื่นร้องขอต่อศาลให้มีการไต่สวน เพื่อแสดงพยานหลักฐาน หักล้างหรือยืนยัน ข้อเท็จจริงที่ศาลมีอยู่ แต่ศาลกลับไม่เปิดโอกาสให้มีการไต่สวน โดยศาลได้ให้เหตุผลว่า คดีมีพยานหลักฐาน เพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวน


พวกเราขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่า กระบวนพิจารณาคดีดังกล่าวของศาลไม่อาจยอมรับได้ เพราะขาดซึ่งความเป็นธรรมอย่างยิ่ง ทั้งนี้ กฎหมายได้ระบุให้กระบวนการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ใช้ระบบไต่สวน ซึ่งเปิดโอกาสให้ศาลมีบทบาทในการแสวงหาข้อเท็จจริงเข้าสู่กระบวนการพิจารณา เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม โดยแม้ในกระบวนการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ได้กำหนดให้ศาลต้องเปิดเผย พยานหลักฐานที่ศาลสามารถรวบรวมได้ให้คู่ความทั้งสองฝ่ายทราบเพื่อยืนยันหรือโต้แย้ง แต่กระนั้นก็ดี ในระบบการวินิจฉัยคดีด้วยการไต่สวน ย่อมมีหลักการสำคัญประการหนึ่ง ได้แก่ การมีสรุปข้อเท็จจริงในสายตาของศาลให้คู่กรณีทราบเพื่อโต้แย้งก่อนการตัดสินคดีอันปรากฏในศาลที่ใช้ระบบไต่สวนทั้งหลาย ทั้งนี้เพื่อให้ ลูกความทั้งสองฝ่ายสามารถเข้าถึงพยานหลักฐานที่ศาลรวบรวม และสามารถโต้แย้งพยานหลักฐานดังกล่าวได้ อันจะเป็นการทำให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรมแก่การพิจารณาคดี ทั้งนี้ ในกระบวนการพิจารณาคดีที่เกิดขึ้น ศาลไม่ได้เปิดโอกาสให้มีการไต่สวน แม้จะมีการร้องขอแล้วก็ตาม พวกเราจึงไม่อาจทราบถึงพยานหลักฐานที่ ศาลรวบรวมได้ และไม่มีโอกาสในการยืนยันหรือหักล้างข้อเท็จจริงที่ศาลมีอยู่ พวกเราจึงขอยืนยันว่า คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว ไม่อาจยอมรับได้ เพราะขาดซึ่งความเป็นธรรมอย่างยิ่งด้วยกระบวน พิจารณาคดี


นอกจากประเด็นดังกล่าว ด้านการออกคำสั่งของศาล ด้วยความเคารพต่อรัฐธรรมนูญในฐานะ กฎหมายสูงสุดของรัฐ พวกเราขอยืนยันว่า พวกเราไม่อาจยอมรับในคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญนี้ได้ เนื่องจาก ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งว่า “ให้ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม รวมทั้งกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต” อันถือเป็นการใช้อำนาจสั่งการล่วงล้ำสู่แดนแห่งอนาคตกาล และเป็นการขยายขอบเขตคำสั่งนอกเหนือไปจากตัวผู้ถูกร้องสู่บุคคลอื่นอย่างไม่มีประมาณ การออกคำสั่งดังกล่าว ถือเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตที่บัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรค 2 เป็นเหตุให้คำสั่งนี้ไม่ชอบด้วย รัฐธรรมนูญ พวกเราขอยืนยันว่าพวกเราไม่อาจฝืนปฏิบัติตามคาสั่งของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้เพราะ หากพวกเราปฏิบัติตามคาสั่งนี้ ย่อมหมายความว่าพวกเราไม่เคารพต่อรัฐธรรมนูญอันตั้งตระหง่านเหนือศาล รัฐธรรมนูญ และมีสถานะเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ


ทั้งนี้ พวกเราขอส่งสารนี้ด้วยความห่วงใยถึงศาลรัฐธรรมนูญอย่างเป็นกัลยาณมิตรว่า การพิจารณา วินิจฉัยสั่งการเหล่านี้ของท่าน กำลังทำให้สังคมเห็นว่า พวกท่านกำลังใช้อานาจเกินขอบเขตของศาล อันเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และอาจเห็นว่า พวกท่านกำลังยกตนขึ้นเหนือรัฐธรรมนูญอันเป็นปฐมเหตุแห่งอำนาจของพวกท่าน รวมถึงอาจเห็นว่า พวกท่านกำลังใช้อำนาจโดยมิชอบ เข้าแทนที่อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ อันเป็นอำนาจสูงสุดที่สถิตอยู่กับประชาชน อีกทั้งคำวินิจฉัยของท่าน ซึ่งตัดสินให้การเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ที่เกิดขึ้นโดยความสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ เป็นการล้มล้างการปกครอง ผิดกับการวินิจฉัยคดีรัฐประหาร ซึ่งเป็นการใช้กำลังทหารยึดอำนาจการปกครอง ตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ฉีกรัฐธรรมนูญโดยชัดแจ้ง แต่ท่านกลับรับรองความชอบธรรมแก่การกระทำดังกล่าว อันเป็นการหันหลังแก่หน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ เป็นการใช้อำนาจวินิจฉัยอย่างปราศจากมาตรฐาน สะท้อนเจตนาไม่สุจริต เพื่อสนับสนุนอุ้มชูมิตร และทำลายล้างผลาญศัตรูทางการเมือง


พวกเราขอย้ำเตือนด้วยความห่วงใยว่า อำนาจที่พวกท่านมีอยู่ขณะนี้ พวกท่านมีได้เพราะอาศัยความชอบธรรมจากรัฐธรรมนูญ และอาศัยความเชื่อมั่นของประชาชน หากสังคมเห็นว่า พวกท่านขาดความ เคารพต่อรัฐธรรมนูญอันเป็นปฐมเหตุแห่งอานาจของพวกท่านแล้ว และเห็นว่าการวินิจฉัยของท่านไม่ได้เป็นไป เพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามครรลองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง การใช้อำนาจของพวกท่านย่อมปราศจากความศักดิ์สิทธิ์ ไม่อาจถือได้ว่าเป็นที่สุด และปราศจากผลผูกพันใด ๆ ต่อทุกองค์กร อย่างไรก็ดี พวกเรายังเชื่อมั่นว่า ไม่สายเกินไปหากท่านจะพิจารณาถึงข้อห่วงใยดังกล่าว และปรับปรุงแก้ไขการวินิจฉัย เพื่อให้คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญกลับเข้าสู่ครรลองตามขอบเขตของรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญกลับกลายป็นที่สถิตของความยุติธรรมอันจะอำนวยความเป็นธรรม และเป็นที่พึ่งสุดท้ายแก่มหาชนทั้งหลายได้ ตามครรลองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง


พวกเราขอเน้นย้ำอย่างบริสุทธิ์ใจว่า ข้อเรียกร้องต่อการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ทั้ง 10 ข้อ ไม่อาจถือได้ ว่าเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในทางกลับกัน พวกเรากลับเห็นว่า การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ย่อมจะส่งผลเป็นการธำรงไว้ซึ่งความมั่นคง และเป็นเหตุให้สถาบันพระมหากษัตริย์ธำรงสถาพรขึ้น ควบคู่กับสถาบันประชาธิปไตยอย่างที่ควรจะเป็นตามครรลองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง


และด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงยังขอยืนยันในข้อเสนอการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ ที่ว่า

1. ยกเลิกมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ

2. ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

3. ยกเลิก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2561

4. ตัดลดงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้กับสถาบันกษัตริย์

5. ยกเลิกส่วนราชการในพระองค์

6. ยกเลิกการบริจาคและรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด

7. ยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ

8. ยกเลิกการประชาสัมพันธ์และการให้การศึกษาที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์แต่เพียงด้านเดียวจนเกินงาม

9. สืบหาความจริงเกี่ยวกับการสังหารเข่นฆ่าราษฎร

10. ห้ามมิให้ลงพระปรมาภิไธยรับรองการรัฐประหารครั้งใดอีก


พวกเราขอยืนยันด้วยจิตอันเห็นประโยชน์แห่งมหาชนเป็นที่ตั้งว่า หนทางที่ดีที่สุดในการธำรงไว้ซึ่ง ความมั่นคงแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่การใช้กลไกทางกฎหมาย หรือความรุนแรง เพื่อเป็นเครื่องมือใน การกดปราบ คุกคาม หรือการพยายามสร้างสังคมแห่งความหวาดกลัว แต่คือการพยายามร่วมมือกันจาก ‘ทุกภาคส่วน’ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม ‘ทุกความคิดทางการเมือง’ ทั้งฝ่ายประชาธิปไตย และฝ่ายอนุรักษ์นิยม และจาก ‘ทุกองคาพยพของรัฐ’ ทั้งองค์กรนิติบัญญัติ องค์กรบริหาร องค์การตุลาการ องค์กรอิสระ รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อร่วมกันผลักดันให้การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์สามารถดำเนินไปจนประสบผลสำเร็จสถาพรได้จริง อันจะเป็นการธำรงไว้ซึ่งความมั่นคงและเป็นเหตุแห่งความเจริญวิวัฒน์ของสถาบันกษัตริย์ควบคู่กับสถาบันประชาชนอย่างสง่างาม ตามครรลองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งอำนาจอธิปไตยอันเป็นอำนาจสูงสุดของรัฐสถิตอยู่ที่ประชาชนอย่างแท้จริง


ฟ้าดินทั้งหลายโปรดเป็นพยานรับรู้เถิดว่า เมื่อใดก็ตามที่บ้านเมืองนั้นไร้ขื่อแปร ราษฎรพบแต่ความ ทุกข์ร้อน แต่เจ้าหน้าที่รัฐและศาลสถิตยุติธรรมกลับมีแต่พวกกังฉิน คดโกงไม่ซื่อตรงต่อประชาชน และเป็นเครื่องมือของเผด็จการ แทนที่ผู้คนเหล่านี้จะขจัดทุกข์ บำรุงสุขราษฎร แต่ก็มิแยแสถึงความเดือดร้อนของ ราษฎรผู้ทุกข์ร้อนอยู่ทุกข์ย่อมหญ้า ซ้ำยังตราหน้าราษฎรผู้ยึดมั่นในระบอบการปกครองให้กลายเป็นกบฎ


บัดนี้เองนั้น พวกเราขอถือโอกาสนี้ ประกาศแก่ประชาชนผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยทุกท่านว่า ใน วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 นี้ พวกเราขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยผู้บริบูรณ์พร้อมด้วยศักดิ์ศรี สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคทุกท่าน ทุกความคิดทางการเมือง ทั้งฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายอนุรักษ์นิยม ทุกช่วงวัย ทุกชนชั้น ทุกสาขาอาชีพ โปรดมารวมตัวพร้อมกัน ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อประกาศเจตจำนง ยืนยันว่า การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ 10 ข้อ มิได้เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการล้มล้างการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หากแต่เป็นการยืนยันว่า การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ดังกล่าว เป็นไปเพื่อธำรงระบอบการปกครองอันอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนชาวไทย และพระมหากษัตริย์ทรงดำรงตาแหน่งประมุข พวกเราขอยืนยันด้วยใจอันตั้งมั่นว่า การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ย่อมจะส่งผลเป็นการพิทักษ์ระบอบการปกครอง มิให้เหล่าบรรดาชนชั้นนำศักดินาอ้างความจงรักภักดีเพื่อหมุนกงล้อประวัติศาสตร์กลับคืนสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลงได้


"เมื่อผู้อ้างความจงรักภักดีกลายเป็นกบฎต่อระบบการปกครอง การเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์จึงกลายเป็นหน้าที่ของประชาชน"


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง