แลไปข้างหน้ากับ ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.51
ตอน ประเทศหายนะไม่ว่า ขอรักษาหน้าไว้ก่อน!
เมื่อมาพบว่ามีเอกสารหลุดจากการประชุม
ซึ่งตอนหลังคุณหมอโอภาสบอกว่า “ไม่ได้หลุด แต่เป็นเอกสารไม่จริง” ซึ่งจริง ๆ
แล้วไม่สามารถบอกได้ว่าไม่จริงตรงไหน? เอกสารหลุดเกี่ยวกับการประชุมในกรณีที่มี “ไฟเซอร์”
อีก 1.5 ล้านโดส ที่ได้รับการอนุเคราะห์จากสหรัฐอเมริกา
คือไม่มีปัญญาจะไปหา
“ไฟเซอร์” มา แต่ตอนนี้เขาให้บริจาคมา
ก็ดูเหมือนไม่มีปัญญาว่าจะเอามาใช้ให้ดีอย่างไร
ไอ้ตรงไม่มีปัญญาว่าจะเอามาใช้ให้เหมาะสมอย่างไรนี้ มันก็เกิดกรณีวิวาทะ
แล้วก็มีความเห็นในเอกสารที่มีการบันทึกหลุดออกมา คือไม่ได้บอกว่าไม่จริง
ตัวรัฐมนตรีบอกเอกสารจริง แต่อธิบดีบอกว่าเอกสารไม่จริง ไปตกลงกันเองว่า “จริง”
หรือ “ไม่จริง”
ตัวนี้ก็เป็นประเด็น
ก็คือการไม่ยอมรับความเป็นจริง คือปัญหาตั้งแต่ว่าคุณจะประเมินสถานการณ์ของความรุนแรงร้ายแรงของการติดเชื้อ
การระบาดของโรคเป็นอย่างไร ความรุนแรงของการขยายตัวของการที่จะทำให้เกิดภาวะวิกฤต
อันนี้ก็ประเมินไม่ถูก ซื้อวัคซีนก็ประเมินไม่ถูก
ประเมินคุณภาพของวัคซีนก็ประเมินไม่ถูก ทำเหมือนกับคนไทยกินหญ้ากันหมด!
เพราะขณะนี้ใคร
ๆ เขาก็รู้หมดแล้วว่าวัคซีนเกรดเอก็เป็นเกรดของ Messenger RNA (mRNA) คือไปหาในโซเชียลมีเดียที่ไหนก็สามารถที่จะบอกได้ทั้งนั้น
มีแต่บุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขหรือเปล่าที่ไม่สามารถยอมรับความจริง
แล้วสิ่งที่ช่วยกันก็คือบอกว่าวัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่มี!
ตารางจากสำนักงานเขตสุขภาพที่ 8 กระทรวงสาธารณสุข
https://r8way.moph.go.th/r8wayadmin/page/uploads_file/20210422084154.pdf
แล้วคำถามว่า
ถ้าวัคซีนที่มีเป็นวัคซีนที่เลวที่สุด คุณเอาสิ่งที่เลวที่สุดมาให้ประชาชน
แล้วบอกว่านี่แหละดีที่สุดแล้ว มันเหมือนกับเอาอาหารให้หมูให้สุนัข อะไรประมาณนั้น
ก็มีแค่นี้ ก็กิน ๆ เข้าไปเสีย จะได้ไม่ตาย ประมาณนั้น
เพราะฉะนั้น
ปัญหาที่มันน่าสมเพชว่า ไม่ว่าประเทศนี้จะหายนะหรือจะฉิบหายยังไงก็ไม่ว่า
แต่ต้องรักษาหน้าเอาไว้ก่อน!
รักษาหน้าเพราะว่าจากในที่ประชุมบอกเอาไว้เลยว่า
ถ้าได้วัคซีนที่รับบริจาคมาจากสหรัฐฯ 1.5 ล้านโดส ควรจะไปให้กลุ่มไหนก่อน
แล้วเมื่อมีคนจำนวนหนึ่งในที่ประชุมบอกว่าบุคลากรการแพทย์ซึ่งเป็นด่านหน้า พูดง่าย
ๆ ว่าในสงครามครั้งนี้นักรบด่านหน้าก็คือบุคลากรการแพทย์ควรจะได้วัคซีนตัวนี้
“ไฟเซอร์” เป็นเข็มที่ 3
เพราะบุคลากรด่านหน้าในประเทศไทยเกือบทั้งหมดและคนที่อยู่ในวัยทำงานล้วนฉีด
“ซิโนแวค” หมด เกือบ 80% ยกเว้นหมอที่สูงอายุ ส่วนใหญ่ได้ “ซิโนแวค” เกือบทั้งสิ้น
เพราะว่าประเภทวัคซีนไม่มีทางเลือก เลือกไม่ได้ตั้งแต่ตอนต้น
ดังนั้น
ขณะนี้เลขาธิการแพทยสภา ก็ออกมาพูดแล้ว พล.อ.ต. นพ.อิทธิพร คณะเจริญ
ก็น่าจะเป็นคุณหมอที่โรงพยาบาลภูมิพล ก็ออกมาพูดในประเด็นเดียวกัน แล้วเชื่อไหมว่าประชาชน
โดยเฉพาะคนในโซเชียลมีเดีย ก็พากันพูดเหมือนกันทั้งหมดเลยก็คือ “ไฟเซอร์”
ควรจะให้บุคลากรการแพทย์ด่านหน้า
เพราะว่าภาพหรือข่าวที่จากเชียงรายที่หมอติดและรวมทั้งในหลายพื้นที่
ฉีด “ซิโนแวค” ไปแล้ว 2 เข็มก็ติดเชื้อ โอเคอาจจะไม่ตาย ที่ตายก็มี แต่ว่าวิธีพูด
อย่างคำพูดของรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข คล้าย ๆ อยากจะให้เครดิตหมอนะ
แต่ในที่นั้นเป็นคำพูดที่มันไม่ให้เครดิตในตัวเลย บอกพยายามเต็มที่ ไม่สนใจ
ติดหรือไม่ติดก็ลุย! เพื่อที่จะรักษา
ไม่ใช่นะ!
เขาไม่ได้อยากติดโควิดนะ เขาระวังเต็มที่แล้ว ตัวรัฐมนตรีพูดประมาณว่าหมอไม่ระวัง
เพราะว่าจิตใจประมาณห้าวหาญ อยากจะรักษาคนป่วย ไม่จริง! เขาระวังเต็มที่
แล้วก็ผ่านการฉีดวัคซีนมา ไม่ใช่เพราะเขาประมาท เพราะว่าทุกคนเขารู้กันทั้งนั้นว่า
“ซิโนแวค” เป็นวัคซีนที่มีคุณภาพต่ำสุด คุณกดเข้าไปในโซเชียลมีเดียที่ไหนเขาก็มี Grading ว่า
“ซิโนแวค” ซึ่งกำลังจะกลายเป็นวัคซีนหลัก
แล้วก็ทำให้พวกคุณกลัวว่าถ้าเอาบุคลากรด่านหน้ามาฉีด “ไฟเซอร์”
ก็จะทำให้เป็นการบอกให้รู้ตรง ๆ ว่า “ซิโนแวค” ที่ฉีดมา 2 เข็มมันใช้ไม่ได้นะ
แล้วก็จะต้องไปหาข้อแก้ตัว ความจริงประชาชนเขารู้กันหมด แต่ความที่ว่ามันไม่มีทางเลือก
รัฐบาลให้อะไรก็ต้องฉีดตามนั้น แล้วระวังผิดรัฐธรรมนูญนะ
เพราะมันเป็นภารกิจที่รัฐจะต้องจัดให้
ในเกรดของวัคซีนตัวนี้ซึ่งดิฉันไม่อยากจะอ่านเป็นเปอร์เซ็น
แต่ว่าที่ดูมาขณะนี้มันรู้กันทั่วโลกว่าวัคซีนอะไรอยู่ในเกรดอะไร
มีแต่บุคลากรการแพทย์ไทยบางส่วนที่อยู่ในกระทรวงสาธารณสุข ที่มีหน้า
ต้องรักษาหน้าของตัวเอง คือปกปิดข้อมูลนี้ไม่ได้ ก็เลยไถลไปบอกว่าก็จะทำให้ตายยาก
เกรด A
ทุกคนส่วนใหญ่ก็รู้กันว่าเป็นพวกกลุ่ม Messenger RNA (mRNA) ไม่ว่าจะเป็น
“ไฟเซอร์” “โมเดอร์นา” คำถามก็คือว่าใคร ๆ เขาก็อยากได้วัคซีนดีที่สุด แล้ว
“แอสตร้า เซนเนก้า” ไม่ใช่เกรด A แต่คนก็ยังพยายามที่จะใช้
ก็คือมันไม่มีทางเลือก ยังไงดูเหมือน “แอสตร้า เซนเนก้า” มันป้องกันได้ดีกว่า
“ซิโนแวค” แต่เริ่มต้นก็บอกว่าเนื่องจากมาน้อยก็ให้ใช้กับคนสูงอายุหน่อย
อะไรประมาณนี้ ดังนั้นก็เหลืออยู่ 2 ชอยส์ ก็คือ “เอสตร้า เซนเนก้า” กับ “ซิโนแวค”
เท่านั้น
แล้วความที่ตั้งใจจะเอา
“ซิโนแวค” เข้ามาอีกมากมาย คนเขาก็นินทากันว่าคุณได้ประโยชน์อะไรหรือเปล่าจาก
“ซิโนแวค” ดิฉันคิดว่าการที่ไม่สนใจว่าประเทศจะหายนะ ประเทศจะฉิบหาย
คนจะล้มตายอย่างไร แล้วต้องการรักษาหน้า ความจริงดิฉันว่าท่านไม่มีหน้าให้รักษาแล้วนะ
เพราะว่าหน้านั้นก็ถูกฉีกไปหลายรอบด้วยตัวเองและด้วยข้อมูลที่คนหามาได้จากในสังคมออนไลน์
“แอสตร้าฯ” ในทัศนะของดิฉันก็ประมาณเกรด B
ส่วน “ซิโนแวค” น่ะ เกรด C-
ปัญหาที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือ
ปัญหาการประเมินสถานการณ์ ในที่นี้คนที่จะต้องรับผิดชอบทั้งพล.อ.ประยุทธ์ รัฐบาล
หมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ คณะรัฐมนตรี ศบค. รวมทั้งฝ่ายสาธารณสุขทั้งหมด
มันสะท้อนให้เห็นถึงความผิดพลาดในการประเมินสถานการณ์ เพราะคิดว่าตัวเองเอาอยู่ ตัวเองเก่ง
ไปที่ไหนก็มีแต่คนชมเชย อะไรต่าง ๆ
แต่จริง
ๆ แล้วมันสะท้อนให้เห็นถึงความไม่รู้จริง! ไม่รู้จริงไม่พอ
ไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ไม่รู้จริงแล้วก็คิดว่าเก่ง
ถ้าพูดภาษาที่ให้เกียรติที่สุดก็คือ “ประมาท” แต่ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ “อวดดี”
แล้วในที่สุดสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยตอนนี้มันเข้าขั้นวิกฤตเป็นขั้นที่ 3 แล้ว
ขั้นแรก ต้องเป็นการป้องกัน ซึ่งเราคงไม่มีเวลาที่จะพูด
แต่สรุปว่าล้มเหลว แต่ในท่ามกลางการป้องกัน ป้องกันโดยกายภาพ
จะเป็นการควบคุมการที่มีการนำเชื้อเข้ามา แต่การป้องกันที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าคนมีความรู้จริงต้องรู้ว่าเรื่อง
“วัคซีน” สำคัญที่สุด ไม่ใช่บอกว่าการ์ดอย่าตก มีแต่ขู่ประชาชนว่าการ์ดอย่าตก
ในเรื่องของการป้องกันจริง
ๆ นั้นต้องบอกได้เลยว่าทั้งทางกายภาพของประเทศแล้วก็มาตรการต่าง ๆ จะเป็นล็อคดาวน์
จะเป็นการควบคุม หรือว่าการจัดหาวัคซีนมันพังไปแล้ว
ขั้นที่สอง ก็คือการรักษา
ขณะนี้ก็อยู่ในสภาพวิกฤตที่เอาไม่อยู่ เพราะว่าเตียงไม่พอ คนไม่พอ
คนไม่พอแล้วยังมาป่วยอีก ยกตัวอย่าง จ.เชียงราย
เมื่อกี้ที่เราบอกว่าทางรัฐมนตรีพูดประมาณว่าหมอมีจิตใจพยายามที่จะไปสู้รบ
ไม่ได้คำนึงว่าจะไปติด ใครเขาจะไปคิดอย่างนั้น ล่าสุดหมอติดเชื้อเป็น 48 คน
ในจำนวนนี้ 6 คนมีอาการปอดอักเสบ นี่ก็พยายามให้ข่าวในลักษณะที่เรียกว่าช่วยกัน
แต่ถามว่าถ้าบุคลากรติดเชื้อ 48 คน โรงพยาบาลนี้ทำงานได้มั้ย ไม่ได้! แล้วยังไม่รู้ว่าจะไปเกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น
ๆ หรือหน่วยการแพทย์อื่น ๆ อย่างไรด้วยซ้ำ
เมื่อประเมินสถานการณ์ไม่ถูก
การจัดซื้อวัคซีนต้องถือว่าผิดพลาด เพราะว่าเทคโนโลยีทั้งหมดเราประเมินไปแล้วว่า
“แอสต้า
เซนเนก้า” ประมาณเกรด
B
“ซิโนแวค”
ประมาณเกรด
C
คนต้องการเกรด A
พอได้เกรด A มา
แทนที่จะให้กับนักรบกองหน้าที่สำคัญที่สุด อย่างที่บอกก็คือให้อาวุธป้องกันตัว
จะเป็นเกราะหรือจะเป็นอาวุธที่ไปสู้รบดีที่สุด ไม่ใช่!
กลับกลัวว่าถ้าไม่อย่างนั้นแปลว่าที่เราสั่ง “ซิโนแวค” มาทั้งหมด “ผิด”
คิดผิดไม่ได้ เพราะรักหน้า
เราจึงไม่ต้องแปลกใจที่ว่าถ้าเมื่อไหร่คุณเริ่มต้นด้วยรักหน้า
ความผิดของคุณจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างเช่น
คุณผิดที่คุณสั่งซื้อวัคซีนเป็นหลักอยู่เจ้าเดียว แทงม้าตัวเดียว ไม่ยอมรับผิด
แล้วบอกว่ามี “ซิโนแวค” แล้วไง
แล้ว
“ซิโนแวค” มันควรจะเอามาขัดตาทัพนิดหน่อยเท่านั้น
คุณได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มกำลังที่สุดหรือเปล่า ในการที่จะเอาวัคซีนที่ดีที่สุดมาให้
แล้วจัดการบริหารอย่างดีที่สุด คุณไม่ใช่ปล่อยให้กรมควบคุมโรค
ปล่อยให้องค์การเภสัช พูดตรง ๆ ว่าเราไม่เห็นบทบาทของนายกฯ
ไม่เห็นบทบาทของรัฐมนตรี มีแต่บทบาทลูกน้อง มันไม่ประทับใจเลย
และมันไม่สามารถแสดงได้ว่ารัฐบาลนี้ช่วยดูแลประชาชน นี่จริง ๆ
ต้องทำตามรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้น
สถานการณ์มันมาถึงเป็นขั้นที่สาม คือระลอกหนึ่งอาจจะเอาอยู่
ระลอกสองก็ดูว่าเต็มที่แล้ว
พอมาตอนระลอกสามตอนนี้ดิฉันเชื่อว่าสายพันธุ์เดลต้าจะเข้ามาเต็มที่
แล้วทุกคนก็รู้ว่า “ซิโนแวค” ไม่น่าที่จะสามารถควบคุมได้
ดังนั้นการประเมินสถานการณ์ต้องถือว่าสอบตก แต่พยายามจะแก้ตัว ยังรักษาหน้า
ปกปิดความผิด
ลักษณะแบบนี้มันเป็นลักษณะของคนชั้นนำที่เป็นพวกที่ถือว่าหน้าของตัวเองสำคัญกว่าชีวิตประชาชน
หรือเปล่า?
ดิฉันต้องตั้งคำถามอย่างนี้
เพราะว่าถ้าคุณมาจากประชาชน เกี่ยวข้องกับประชาชน มาจากการเลือกตั้ง
คุณขอโทษประชาชนเป็นมั้ย? คุณรู้จักลาออกมั้ย?
การลาออกกับการขอโทษประชาชนไม่เคยมีกับผู้ปกครองพันธุ์จารีตนิยมกับอำนาจนิยม
เพราะว่าเขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับประชาชน ลอยมา ข้าราชการก็เหมือนกัน
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชน มิหนำซ้ำข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขขึ้นชื่อในอดีต
ดิฉันพูดตรง ๆ เลยว่าก็คือสลิ่มตัวพ่อตัวแม่ขนาดได้รับนกหวีดทองคำนั่นแหละ
ขณะนี้มันเข้าสู่การพังทลายในระยะที่สาม
คุณจะทำยังไง? คือถ้าคุณบอกว่าคุณไม่มีปัญญาจะไปหาวัคซีนเกรด A
มาให้ประชาชน คุณไม่มีปัญญาแล้ว
ถ้าคุณรู้นะว่าไม่มีปัญญาแล้วที่จะดึงประเทศให้พ้นจากหายนะปัจจุบัน
ถ้าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง “ลาออก” เด็ดขาด แล้วขณะนี้คุณไม่ลาออก
คุณไม่รับผิด คุณรับแต่ชอบ เอาแต่หน้าว่าตัวเองทำดีและทำถูก
มองไม่เห็นอนาคตเลยว่าเราจะหลุดพ้นจากความเสียหายวายป่วงได้ยังไง?
ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็จะมีการประท้วง การออกมาของประชาชนมากขึ้นเรื่อย ๆ วิกฤตเชื้อโรคก็จะเกิดวิกฤตการเมืองขึ้นมา
ถ้าคุณไม่ต้องการให้เกิดวิกฤตการเมือง
ข้อที่
1 คุณต้องจัดการวิกฤตโควิดอันนี้ได้ดี ซึ่งดิฉันดูแล้ว
ผ่านมาจนถึงขณะนี้คุณทำไม่ได้เลย แค่เขาให้มาฟรี ๆ
ยังมีปัญหาในการที่จะจัดลำดับความสำคัญในการที่ พูดง่าย ๆ
ว่าแจกจ่ายอาวุธเสื้อเกราะให้กับประชาชน ให้กับบุคลากรต่าง ๆ ทำยังไง
คุณยังทำไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นแน่นอน
ดังนั้นดิฉันมองไม่เห็นเลยว่าคุณจะแก้ปัญหาวิกฤตโควิด
วิกฤตสาธารณสุขได้ คุณสู้เชื้อโรคไม่ได้หรอก เชื้อโรคมันยังรู้จักปรับ
มันกลายพันธุ์ แต่มนุษย์แบบจารีตนิยม อำนาจนิยม ดิฉันไม่คิดว่าจะรู้จักปรับและเปลี่ยน
เพราะฉะนั้นการประเมินสถานการณ์และการปรับตัวในการบริหารเพื่อที่ให้แก้ปัญหาสาธารณสุขได้
ดิฉันบอกตรง ๆ ว่าดิฉันดูแล้วว่ามันทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะเจอวิกฤตการเมืองควบคู่
แล้วก็วิกฤตเศรษฐกิจ
เพียงแค่คุณมาทำภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
(Phuket
Sandbox) ก็ยังมีปัญหา! คิดดู
คุณเป็นรัฐบาลคุณยังไม่เข้าใจเลยว่าแซนด์บ็อกซ์คืออะไร คุณไปพูดปราสาททราย
ซึ่งปราสาททรายมันก็คืออะไรที่รอวันน้ำซัดแล้วก็พัง
เขาจะเปรียบเทียบไม่อยากให้ความรักเหมือนปราสาททราย อะไรปานนั้น นายกฯ
เคยรู้จักหรือเปล่าไม่รู้
อันนี้มันแซนด์บ็อกซ์
เป็นศัพท์ของฝ่ายธุรกิจที่ทันสมัย คือกระบะทราย ถ้าคุณเป็นนักรบ สมัยโบราณเขาก็มีกระบะทรายนะ
เวลาเขาวางแผน ลบทิ้งทำใหม่ได้ คุณไม่รู้จัก ไม่ว่าเป็นกระบะทรายของธุรกิจ
กระบะทรายของการทหาร รูจักแต่ปราสาททราย แล้วประเทศไทยก็จะกลายเป็นปราสาททรายแน่ ๆ
เลย
ความจริงตั้งใจจะพูดต่อว่าเรื่องการรักษาหน้า
แต่ว่าพอมาถึงขั้นนี้ คำว่ารักษาหน้าดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กสำหรับฝ่ายจารีตนะ
แต่ว่ามันคือบทสรุปว่า มันจะฉิบหายก็ได้ คือขอให้รักษาหน้าเอาไว้
ตัวเองยังทำถูกอยู่ก็แล้วกัน แล้วมันจะไม่เสียหายทั้งประเทศเหรอ มันต้องเกิดแน่ ๆ
เลย เพราะว่าถ้าคุณมุ่งแต่จะรักษาหน้า คุณมุ่งแต่ที่จะรักษาความชอบว่าคุณทำดีแล้ว
ถูกต้องแล้ว
ดิฉันไม่อยากจะมองไปเลยว่า
นอกจากประชาชนจะต้องล้มตาย ขณะนี้ถ้าเอาภาพในโรงพยาบาลที่นอนกันหน้าโรงพยาบาลรามา
แล้วเป็นไปได้ยังไง โรงพยาบาลรามาธิบดีก็ต้องมาประกาศเพื่อที่จะให้ซื้อ
“โมเดอร์นา” แปลว่าเป็นโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย เป็นโรงพยาบแถวหน้า รวมทั้งโรงพยาบาลรัฐอื่น
ๆ เขาอาจจะไม่โฆษณา แต่เขาต้องช่วยตัวเอง เขาต้องจอง “โมเดอร์นา” ยอมจ่ายเงิน
แล้วเปิดโอกาสให้ประชาชนส่วนหนึ่งมาด้วย แปลว่าเขาไม่ไว้ใจรัฐบาลแล้ว
เขาไม่เชื่อมั่นแล้ว นี่ขนาดบุคลากรการแพทย์และโรงพยาบาลแถวหน้าของรัฐนะ
ยังไม่เชื่อ แล้วคุณว่าประชาชนคนทั่วไปจะเชื่อเหรอ?
ดังนั้น
วิกฤตโควิดคุณแก้ไม่ได้ วิกฤตเศรษฐกิจจากกระบะทรายก็จะกลายเป็นปราสาททราย
แทนที่จะมีกระบะที่ 1 ที่ 2 เป็นโมเดล มันก็ไม่ใช่
มันก็จะเป็นปราสาททรายตามที่นายกฯ พูดนั่นแหละ แล้ววิกฤตการเมือง
ดิฉันคิดว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่ ๆ มันจะต้องมีม็อบประมาณทุกวัน เช้า-เย็น
คุณอาจจะบอกว่าล้มผมไม่ได้หรอก แต่ว่าถ้าในจิตใจของประชาชนมันพังทลายหมด เห็นได้จากโฆษณาของโรงพยาบาลรามาธิบดีที่ขอซื้อจอง “โมเดอร์นา” ยอมจ่ายเงิน แปลว่ามันไม่มีอะไรเหลือแล้วในความไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วคุณจะอยู่ยังไง?