องค์กร ARTICLE 19 เรียกร้องให้ทางการไทยยุติการใช้กฎหมายหมิ่นประมาทต่อผู้วิพากษ์วิจารณ์นายกฯ และเรียกร้องให้ยกเลิกโทษทางอาญาของกฎหมายนี้ หลังผู้แทนนายกฯ ระบุว่ามีการเริ่มฟ้องคดีต่าง ๆ ไปกว่า 100 คดีแล้วตั้งแต่แต่ ก.ย. 63
เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย. 64) องค์กรนานาชาติ อาร์ติเคิล 19 เรียกร้องให้รัฐบาลไทยหยุดแจ้งความเอาผิดผู้วิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีในคดีหมิ่นประมาท
ARTICLE
19 กล่าวว่าเจ้าหน้าที่รัฐกำลังใช้กฎหมายหมิ่นประมาทเป็นอาวุธมุ่งเป้าไปยังบุคคลที่มีความเห็นวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรี
ประยุทธ์ จันทร์โอชา บนพื้นที่โซเชียลมีเดีย
ประธานของคณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายให้ปกป้องชื่อเสียงของนายกฯ
อ้างว่ามีการริเริ่มฟ้องคดีบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์นายกฯ ไปกว่า 100
คดีตั้งแต่เดือน ก.ย. 63 นายกฯ และตัวแทนของนายกฯ
ควรหยุดการใช้กระบวนการหมิ่นประมาทในการโจมตีเสรีภาพในการแสดงออก
และรัฐบาลไทยควรเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิกโทษอาญาของกฎหมายหมิ่นประมาทอย่างเร็วที่สุด
“ปฏิริยาความหน้าบางนี้ต่อคำวิจารณ์ของสาธารณะนี้จะเป็นที่น่าตกใจอย่างมาก
ถ้าไม่ได้เป็นสิ่งที่คาดเดาได้อยู่แล้ว” ดาบิด ดิอาซ-ฮอร์เกซ์
ผู้อำนวยการโครงการอาวุโสของ ARTICLE 19 กล่าว
“การใช้กฎหมายหมิ่นประมาทเพื่อผลประโยชน์ตัวเองของนายกรัฐมนตรีเป็นตัวอย่างล่าสุดของความพยายามในการปิดปากผู้เห็นต่างและคำวิจารณ์สาธารณะ”
เป้าหมายล่าสุดของความพยายามปิดปากผู้วิจารณ์นายกฯ
คือ วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ พิธีกรรายการโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียง
วิญญูถูกสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันที่ 28 พ.ค. 64
ด้วยข้อกล่าวหาว่าฝ่าฝืนมาตรา 328 (หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา) และมาตรา 393
(ดูหมิ่นซึ่งหน้า) ในกฎหมายอาญาของไทยหลังจากวิญญูโพสต์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์นายกฯ
ในทวิตเตอร์ ข้อมูลจากหมายเรียกของวิญญูแสดงให้เห็นว่าการสอบสวนนี้ริเริ่มโดยอภิวัฒน์
ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี วิญญูปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
การสอบสวนต่อวิญญูเป็นกรณีล่าสุดที่ริเริ่มโดยอภิวัฒน์
ขันทอง ในนามของนายกรัฐมนตรี การฟ้องคดีของอภิวัฒน์ยังนำไปสู่การสอบสวน วีระชาติพงศ์
(ไม่เปิดเผยนามสกุล)
จากการโพสต์ข้อความวิจารณ์นายกฯ ในเฟซบุ๊ก
วีระชาติพงศ์เข้ารายงานตัวต่อตำรวจในวันที่ 24 พ.ค. 64 ยอมรับข้อกล่าวหา
จ่ายค่าปรับ เพื่อจบการสอบสวน ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า คดีของวีระชาติพงศ์เป็นคดีหมิ่นประมาทคดีที่สี่ที่ริเริ่มโดยอภิวัฒน์
แต่รายละเอียดคดีอื่นไม่มีปรากฏเพิ่มเติม
หมายเรียกของวิญญูเปิดเผยว่าการฟ้องคดีนั้นเริ่มจากคำสั่งนายกรัฐมนตรีหมายเลขที่
32/2563 ลงวันที่ 21 ก.ย. 63 แม้ว่าตัวคำสั่งเองจะไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ
หมายเรียกของวิญญูแสดงให้เห็นว่าคำสั่งนายกฯ นั้นเป็นคำสั่งในการตั้ง
‘คณะกรรมการตรวจสอบและดําเนินคดีแก่ผู้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค’
ในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวออนไลน์
The
Matter ในวันที่ 1 มิ.ย. 64 อภิวัฒน์ ขันทอง กล่าวว่าคณะกรรมการที่อภิวัฒน์เป็นประธานถูกตั้งขึ้นเพราะนายกฯ
ถูกโจมตีในโซเชียลมีเดียและไม่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ปกป้องนายกฯ
อภิวัฒน์กล่าวต่อไปว่าคณะกรรมการชุดนี้ประกอบด้วยนักกฎหมายจำนวนหนึ่งพร้อมคณะกรรมการอีก
30 คนซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบเนื้อหาหมิ่นประมาทบนโซเชียลมีเดีย
และแม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คดีที่ถูกรายงานต่อสาธารณะ
อภิวัฒน์กล่าวอ้างในบทสัมภาษณ์ว่าคณะกรรมการชุดนี้ฟ้องคดีหมิ่นประมาท
คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ไปแล้วกว่า 100
คดีในนามของนายกรัฐมนตรี อภิวัฒน์กล่าวเพิ่มเติมว่าคดีส่วนมากจะจบลงในชั้นสอบสวนหากผู้ต้องหายินยอมขอโทษ
จ่ายค่าปรับ และให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่กระทำผิดซ้ำ
ในความเห็นทั่วไปฉบับที่
34 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกล่าวว่า
‘บุคคลสาธารณะรวมถึงเจ้าหน้ารัฐที่มีตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงเช่นประมุขของรัฐหรือหัวหน้ารัฐบาลนั้นเป็นหัวข้อที่ชอบธรรมของการถูกวิพากษ์วิจารณ์’
และเน้นย้ำว่าการดูหมิ่นบุคคลสาธารณะนั้นไม่ใช่ความชอบธรรมสำหรับการลงโทษทางกฎหมาย
รายงานของ
ARTICLE 19 ที่ออกมาในเดือน มี.ค. 64
‘ความจริงที่ต้องพูดถึง : กรณีสนับสนุนการยกเลิกความผิดฐานหมิ่นประมาททางอาญาในประเทศไทย’
วิเคราะห์กฎหมายหมิ่นประมาทอาญาของไทยและพบว่ากฎหมายหมิ่นประมาทอาญาของไทยนั้นไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
บ่อยครั้งที่กฎหมายหมิ่นประมาทอาญาของไทยถูกใช้เพื่อปิดปากความเห็นที่ชอบธรรม
ถึงแม้ว่าจะมีการยอมรับว่ากฎหมายหมิ่นประมาทถูกใช้อย่างไม่สมเหตุสมผลอยู่บ่อยครั้งในแผนปฏิบัติการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
รัฐบาลไทยกลับล้อมเหลวในการหยุดยั้งการฟ้องคดีหมิ่นประมาทที่ไม่มีมูล รัฐบาลไทยควรยกเลิกโทษอาญาของกฎหมายหมิ่นประมาทและทำให้แน่ใจว่าโทษจำคุกจะไม่ถูกใช้ในคดีหมิ่นประมาท
“การใช้กฎหมายหมิ่นประมาททางอาญาต่อผู้ใช้โซเชียลมีเดียทำให้เสรีภาพการแสดงออกในประเทศไทยยิ่งเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว” ดิอาซ-ฮอร์เกซ์ กล่าว “เจ้าหน้าที่รัฐไทยที่มีบทบาทในทางสาธารณะควรตระหนักถึงความสำคัญของการถกเถียงทางการเมืองอย่างเป็นสาธารณะและยอมรับการตรวจสอบมากกว่าคนอื่น ๆ ในสังคม”