31 ก.ค. และ 4-5-6 ส.ค. แกนนำในเรือนจำขึ้นศาลคดีปี 52 / ความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนไทยในเชิงพัฒนาการของรูปแบบม็อบต่อต้านเผด็จการฉีกแนวไปเลย ดิฉันยกย่องว่าทำได้ดีมาก!
สวัสดีค่ะ
วันนี้มาเฟสบุ๊คไลฟ์ใกล้เรือนจำ
สำหรับคนเสื้อแดงและนปช.นั้นก็ต้องยอมรับว่าแกนนำเดินเข้าออกระหว่างศาลแล้วก็คุก
พูดกันตรง ๆ ในขณะนี้นะคะ แต่วันนี้ที่ดิฉันจะคุยก็คือเรื่องราวนอกเรือนจำ
ซึ่งอยู่ในหัวใจของพวกเราทุกคน ประเด็นก็คือ
“พัฒนาการม็อบต่อต้านเผด็จการของคนรุ่นใหม่”
ก่อนอื่นดิฉันขอเล่าข่าวหน้าเรือนจำก่อนว่า
ขณะนี้ทุกคนสุขสบายดี วันที่ 31 ก.ค. นี้ รวมทั้งวันที่ 4-5-6 ส.ค.
ไปพบได้ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก สามารถที่จะมาพูดคุยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นคุณหมอเหวง
คุณวีระกานต์ คุณณัฐวุฒิ คุณวิภูแถลง คุณพายัพ
รวมทั้งคนที่ไม่ได้อยู่ในเรือนจำด้วย นั่นก็คือคดีปี 52
วันที่
30 ก.ค. นี้ แกนนำในเรือนจำไม่ได้ไปพัทยา
แต่ว่าจะมีคดีที่พัทยาที่อัยการอุทธรณ์ว่าจะแยกย้ายให้แกนนำพวกนี้จะต้องไปรับคดีที่พัทยา
ซึ่งชุดก่อนถูกตัดสินคดีไปแล้วว่าติดคุก 4 ปี คนที่ไปร้องก็คืออยากให้แกนนำนปช.
แทนที่จะมีคดีอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้ไปรับคดีที่พัทยาด้วย ในวันที่ 30 ก.ค.
ก็จะเป็นการที่ไปรับฟังอัยการอุทธรณ์
ในขณะนี้ถ้าพูดก็คือแกนนำรุ่นเก่าเดินเข้าออกระหว่างคุกและศาลอยู่ตลอดเวลา
เอาเถอะ...เนื่องจากการต่อสู้ของประชาชนซึ่งมีมายาวนาน
สำหรับดิฉันถือว่ามันเป็นสายธารเดียวกัน เมื่อเราพูดถึงชะตากรรมของแกนนำรุ่นก่อน
แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่สู้มาในยุคก่อนจะสนใจแต่เฉพาะชะตากรรมของตัวเอง
เพราะสำหรับ “นักต่อสู้” ชะตากรรมที่สำคัญคือชะตากรรมของประเทศ
แกนนำชุดเก่าอาจจะอยู่ในคุก ไม่เป็นไร! ประชาชนไทยมีอยู่ทั่วประเทศ
ดังนั้น
ดิฉันก็อดจะดีใจไม่ได้ แล้ววันนี้ที่อยากจะพูดก็คือ
พัฒนาการการต่อสู้ในการต่อต้านเผด็จการของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทย
ดิฉันจะขอแสดงความยินดีกับปรากฏการณ์และเนื้อหาที่มีคนรุ่นใหม่ต่อสู้
เพราะดิฉันดูแล้วว่าเขาเข้าใจ คือหลายคนโดยเฉพาะฝ่ายอนุรักษ์นิยมอาจจะคิดว่าเด็ก ๆ
พวกนี้จะไปรู้เรื่องอะไร?
ดิฉันดูแถลงการณ์ของเยาวชนปลดแอก
เรื่อง ขอประเทศที่เป็นของประชาชน
เขาขอประเทศที่เป็นของประชาชน
ได้ยินหรือเปล่าคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ 3ป และรัฐบาล พูดง่าย ๆ ว่า
คณาธิปไตยได้ยินหรือเปล่าว่าเด็กรุ่นใหม่ขอประเทศที่เป็นของประชาชน
เขาไม่ได้ขอเพื่อตัวเขาเองนะ เพียงแค่คำขอตรงนี้มันก็ทำให้เรารู้แล้วว่า
“เขารู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่”
แล้วชะตากรรมของแกนนำรุ่นเก่ามันก็ทำให้เขารู้เหมือนกันว่า เขาอาจจะเจอกับอะไรข้างหน้า
แต่ดิฉันเสียใจที่อยากจะบอกกับคณะผู้สืบทอดการทำรัฐประหาร
พูดง่าย ๆ ตรงไปตรงมา ไม่ต้องอ้อมค้อม ก็คือเผด็จการและผู้สนับสนุนทั้งหลายว่า
ท่านคิดว่าท่านได้จัดการประชาชนที่เป็นแกนไปแล้ว
ไม่จริง!!!
ตอนนี้ดอกไม้บานสะพรั่ง แล้วคนเหล่านี้เป็นเยาวชนรุ่นซึ่งภาษาก็เรียกว่า Gen Z (อายุตั้งแต่
10-22 ปี)
พวกที่เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมและสนับสนุนรัฐประหารทั้งหลาย
ส่วนมากก็จะเป็นคนรุ่นเรียกว่า 50 ขึ้น แต่มันก็มี 30 – 40 กว่า
ที่อาจจะหลงใหลได้ปลื้มกับคณะรัฐประหาร กับเผด็จการ
เพราะว่าความขัดแย้งครั้งนี้มันบานปลายมาจนถึงในหมู่ประชาชนทั่วไป
แต่อย่างหนึ่งก็คือ
เราต้องยอมรับตรง ๆ ว่า คนที่เป็นวัยรุ่น เป็น Gen Z (นี่ดิฉันยังไม่นับเด็กอายุไม่ถึง
10 ขวบนะ ซึ่งเขาขนาดนามว่าเป็น Gen Alpha ว่าเขาจะคิดยังไง
มันต้องเลิศกว่า Gen Z รุ่นนี้แน่)
ขนาด Gen Z, Gen Y คนเหล่านี้เขาอยู่ด้วยเทคโนโลยี เขาอยู่ในสังคมโลกาภิวัตน์
ไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนและผู้ควบคุมประเทศ ควบคุมความคิด ควบคุมความรู้เขาได้
คุณควบคุมประเทศด้วยอาวุธได้
แต่คุณควบคุมความรู้ ความคิด ของประชาชนและเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้
เด็ก
Generation ใหม่นี้ ครูเขาใช้จริงอยู่ทั้งโลกเลย แล้วเป็นโลกตั้งแต่ยุคก่อนมาถึงยุคนี้
ก็ท่านผู้นำยังพูดเองว่าเข้าไปหาอะไรใน Google
อันนี้ยิ่งกว่า Google อีก
คนเหล่านี้เขาสามารถที่จะหาความรู้ได้
อ.ธิดาไม่ได้ไปร่วมกับเขาหรอก
แต่ว่าอาจารย์ลองฟังคนเหล่านี้พูด คนเหล่านี้เขาอยู่กับเทคโนโลยี
คนเหล่านี้ไม่สามารถที่จะมีการถูกครอบงำโดยความคิดเก่า โดยครูในโรงเรียน
โดยผู้ปกครองจะมาบอกอุดมคติ 12 ประการ เอาเขาไม่อยู่หรอก คุณต้องไปบอกพวกคุณกันเอง
มันคนละยุคกัน!
ฟังที่เวลาเขาพูด
เขายังสืบสานต้นธารความคิดความเข้าใจในการต่อต้านเผด็จการจากคนรุ่นก่อนนะ
เพราะว่าอย่างที่ดิฉันฟัง “ถีบลงเขา เผาลงถัง”
ดิฉันอยากจะถามคนแก่
ๆ ทั้งหลาย...รู้หรือเปล่า? แต่เด็กรู้
เยาวชนนี่รู้
เป็นกรณีที่พัทลุงและที่สุราษฎร์ธานี
ที่มีการจับประชาชนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ถีบลงจากเฮลิคอปเตอร์ คนเป็น ๆ เผาในถังน้ำมัน
ตอนนั้นคือกลัวคอมมิวนิสต์ เพียงแต่เขายังไม่ได้พูดเรื่องเผาบ้านนาทราย
เขาสามารถอ่านบทกวีของ “จิตร ภูมิศักดิ์” ได้
สามารถเข้าใจการเมืองการปกครองระบบศักดินามาถึงคณาธิปไตย
เขาใช้คำพูดว่า
“ขอประเทศที่เป็นของประชาชน”
แปลว่าเขารู้ว่าการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยควรจะเป็นอย่างไร
ดิฉันสู้มาอาจจะ
40 กว่าปี นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องอวดอ้าง
ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเก่งกว่าคนรุ่นนี้ เพราะว่าคนรุ่นนี้นั้น ใคร ๆ
ในโลกนี้ก็เป็นครูเขาได้ หนังสือกี่เล่มก็เป็นครูของเขาได้
ถ้าอาจารย์ไปเอาคำพูดของ “อาจารย์ศิลป์ พีระศรี” ที่เคยบอกว่า
“นายไม่อ่านหนังสือแล้วนายจะไปรู้อะไร”
อันนี้ก็เหมือนกัน
ถ้าจะมีการไปบอกเด็กว่าทำไมไม่ไปช่วยแม่ล้างจาน
มันก็เป็น “วิวาทะ” ซึ่งเป็นการพูดคล้าย ๆ
กับว่าเป็นลักษณะแบบเห็นแก่ตัวและครอบครัว
แต่คนที่มาทำงานการเมืองเขาไปไกลกว่านั้น
เขาจะช่วยครอบครัวแค่ไหน มันเป็นดุลยพินิจและข้อตกลงในครอบครัว
แต่ถ้าหัวใจยิ่งใหญ่
เขาไม่ล้างจานในบ้านก็ได้ แต่เขาไปล้างจานในที่ชุมนุม เขาไปรับใช้ประชาชน
ดิฉันถามว่า
ระหว่างรับใช้พ่อแม่ก็โอเค กับรับใช้ประชาชนเนี่ย ความยิ่งใหญ่มันเทียบกันไม่ได้
หัวใจมันก็เทียบกันไม่ได้
ดังนั้นยิ่งพูดอย่างนี้ยิ่งดูถูกตัวเองว่า
เฮ้ย..เด็ก ๆ เนี่ยห่วงตัวเองก็พอ นั่นมันคือคนรุ่นคุณ ซึ่งจริง ๆ แล้ว
คนรุ่นที่เรียกว่า Baby
Boomer (อายุตั้งแต่ 56-73 ปี) รุ่นสร้างเนื้อสร้างตัว
ลักษณะความคิดที่เห็นแก่ครอบครัวหรือไต่เต้าก็จะสูง ในขณะที่เด็กรุ่นใหม่ หัวใจเขา
ความรู้เขา แล้วก็โลกของเขามันกว้างกว่า
คือโลกของเขากว้างกว่าโลกของคนรุ่นเดิมเยอะ (ในทัศนะอาจารย์นะ)
และเมื่อโลกของเขากว้างกว่า
ความรู้เขากว้างกว่า ความกล้าหาญและวิสัยทัศน์
อย่างที่เขาบอกเลยว่ามันกว้างกว่าอยู่แล้ว
เพราะว่าเขาบอกแล้วว่าทำไมอ้างว่าเดี๋ยวไม่มีงานทำนะ
เขาบอกว่าอนาคตเขาไม่มีอยู่แล้วถ้าขืนรัฐบาลยังเป็นแบบนี้ นี่คือวิสัยทัศน์ของเขา!
ซึ่งคนแก่
ๆ จำนวนหนึ่งมองไม่เห็น แต่เด็ก ๆ มองเห็นว่าไปไม่รอดแน่นอน ชีวิตเขา ชีวิตเพื่อน
และชีวิตของประเทศไปไม่รอดแน่นอน ถ้าประเทศยังมีการเมืองการปกครองแบบนี้
เศรษฐกิจก็ไปไม่รอด สังคมก็ไปไม่รอด พวกเขาก็ไปไม่รอด จะว่าไปเขาก็ต้องทำเพื่ออนาคต
แต่พวกคุณก็สอนให้เห็นแก่ตัวอีกแล้ว
อุ้ย...มาม็อบแบบนี้จะไม่มีใครรับไปทำงาน
ก็มีอ.เจษฎาบอกว่า
ช่วยบอกทีว่าบริษัทไหนจะไม่รับคนเข้าม็อบไปทำงาน จะได้มีคนต่อต้านไปเสียเลย
กล้าไหม?
หรือบางคน
ดิฉันก็ไม่แน่ใจนะ แต่วิธีคิดแบบเห็นแก่ตัว เห็นแก่ครอบครัว เห็นแก่คณะของตัวเอง
อย่าเอามาสอน อย่าเอามาเทียบกับเด็กรุ่นใหม่ เพราะว่าวิสัยทัศน์เขากว้างไกลกว่า
หัวใจเขาใหญ่กว่า คุณจะมาบอกไปล้างจานให้แม่ไป เขาบอกเรื่องอะไร
ก็เขากำลังรับใช้ประชาชนอยู่ แม่เขาก็เข้าใจได้ ไม่เห็นมีปัญหา
อาจารย์ก็เคยเจอปัญหานี้
แต่เรารู้ว่าเราจะจัดการกับครอบครัวอย่างไร ส่วนตัวอยู่ตรงไหน ส่วนรวมอยู่ตรงไหน
ถ้าตัดสินใจว่าชีวิตนั้นเพื่อส่วนรวม ก็ต้องจัดการส่วนตัวได้อย่างถูกต้อง
ถ้าคนเรากล้าที่จะรับผิดชอบต่อส่วนรวม เขารู้วิธีจัดการ ไม่ต้องไปสอนเขา
แล้วแถมไปสอนให้เขาเห็นแก่ตัวอีก
ที่อาจารย์พูดนี่ก็พูดถึงเรื่องเส้นทาง
แนวทาง ความน่าเชื่อถือ
ระหว่างฝ่ายที่ต่อต้านเผด็จการของคนรุ่นใหม่ที่พยายามจะมาสอนคนรุ่นใหม่ให้เห็นแก่ตัว
ให้กลัวไม่มีงานทำ ให้กลับไปล้างจาน
มันต่างกันลิบเลยในเรื่องขนาดของหัวใจและในวิสัยทัศน์
แต่อีกส่วนหนึ่งที่พยายามที่จะมาต่อต้าน
ยังใช้วิธีการเก่า ๆ ทั้ง ๆ ที่คนรุ่นใหม่ที่เป็นหัวใจในการพูดวันนี้ก็คือ
สิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น การสร้างสิ่งใหม่ ๆ
มันเหมือนกับการทำงานในยุคใหม่ซึ่งต้องทำให้แตกต่างจากเดิม
เด็กรุ่นใหม่เขาไม่ต้องไปชูกำปั้นว่าผมไม่มีอาวุธ
ผมไม่มีชายชุดดำ ไม่ต้องไปสู้กับวาทกรรม “ชายชุดดำ” “เผาบ้านเผาเมือง”
เพราะเขาแต่งตัวเป็นการ์ตูน เขาออกมาวิ่ง แล้วเขาร้องเพลง
คุณจะเอาวาทกรรม
“เผาบ้านเผาเมือง” วาทกรรม “ชายชุดดำ”
โน่น...ชายชุดดำที่เราเห็นขึ้นไปปืนหลังคาแมคโดนัลด์ เอาถุงดำไปคลุมกล้องวงจรปิด
นั่นแหละชายชุดดำตัวจริงปรากฏแล้วในตอนนี้
แต่ว่าลักษณะของเยาวชนรุ่นใหม่นั้น
ออกมาในแนวซึ่งถ้าคิดในแง่ครีเอทีฟนะ อันนี้แตกต่างในโลกเลย เท่าที่อาจารย์รู้นะ
ไม่มีม็อบที่ไหนในโลกที่เป็นม็อบการ์ตูน มันมีเนื้อหาที่แอบแฝงในการวิ่งของหนูแฮมสเตอร์
แล้วก็มีการแปลงเพลง รูปแบบนี้พูดง่าย ๆ ว่าถ้าเป็นครีเอทีฟโฆษณา ได้รางวัลปังเลย
แต่เผอิญนี่มันไม่ใช่เรื่องของการโฆษณา
ในโลกนี้ประเทศไทยมาเป็นที่
1 ในเรื่องที่ใช้การ์ตูนประท้วง
เพราะว่าความโหดเหี้ยมของฝ่ายอนุรักษ์นิยมในประเทศไทยนั้นมีมาก
จนกระทั่งเด็กรุ่นใหม่เขาต้องสรรค์สร้างหาวิธีเพื่อที่จะสู้ เอาความสดชื่น
เอาความน่ารัก เอาควาไร้เดียงสามาสู้กับไอ้ผู้ใหญ่แก่ ๆ ที่อำมหิต
ที่ใช้ปืนยิงหัวประชาชนได้
คุณจะมาจัดการอะไรกับหนูแฮมสเตอร์
ในเชิงพัฒนาการของรูปแบบ
ดิฉันก็ยกย่องว่าเขาทำได้ดีมาก แล้วเขาก็เก็บรับบทเรียนที่คนรุ่นก่อนถูกกระทำ
ไม่ว่าจะการล้อมปราบหรือมีวาทกรรมรุนแรง ดังนั้นฉีกแนวไปเลย
แสดงว่าความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนไทย เรื่องนี้ต้องเป็นข่าวทั่วโลก
เพราะในโลกนี้ยังไม่มีใครทำ
แน่นอนการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการกับการต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยมันไม่ใช่งานรื่นเริง
งานปฏิวัติไม่ใช่งานเลี้ยง
แต่ว่าพัฒนาการของการที่ต่อต้านกับเผด็จการที่โหดเหี้ยมโหดร้ายโดยเยาวชนรุ่น Gen Z
ในทัศนะอาจารย์นะ มันเด็ดกว่า ก็ต้องสู้กันอย่างนี้แหละ
ขณะที่มีพัฒนาการของเด็กรุ่นใหม่ที่ยอดเยี่ยม
แต่ปรากฎว่าไอ้คนรุ่นเก่ามันยังใช้วิธีการเดิม ๆ ยกตัวอย่างเช่น “อาชีวะ” มาอีกแล้ว
อันนี้มันมีมาก่อนนานแล้ว แล้วผู้ทำเพจก็เป็นผู้สมัคร เท่าที่ทราบของพรรครวมพลังประชาชาติไทยของคุณสุเทพ
เทือกสุบรรณ นั่นคือเพจ แต่ว่าบุคลากรเราไม่รู้
แต่รู้ว่าคนทำเพจก็มีสายสัมพันธ์กับคุณสุเทพ
แต่วิธีการที่จะเอาม็อบมาชนม็อบ
คือฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ไปไหนไม่รอด ก็จะต้องคิดแบบนี้แหละ ก็คือคิดแบบเดิม
ประชาชนที่ต้องการทวงคืนอำนาจประชาชน
ต้องการทวงคืนประเทศไทยที่สดใสกว่าเดิม เขาพัฒนาไปมากแล้ว เพราะฉะนั้น
วันนี้อาจารย์จะฝากเอาไว้ก็คือว่า เยาวชนเขาไปไกล แต่ผู้ใหญ่ที่ใจอำมหิตยังเหมือนเดิม
คุณเรียนรู้จากเด็กซิคะว่าคุณควรที่จะมีการเปลี่ยนแปลง
แล้วดิฉันอยากจะถามว่าคุณโหดเหี้ยมพอที่จะมาจัดการกับเด็ก
Gen Z อายุ 10 กว่ามีมั้ย ทั้งใส ทั้งซื่อ ไม่มีใครอยู่ข้างหลังแน่นอน
เพราะผู้ใหญ่ไม่มีใครคิดออกเรื่องหนูแฮมสเตอร์ ไม่มีใครคิดรูปแบบอย่างนี้
คุณจะเอาปืนมาไล่ยิงหนูแฮมสเตอร์
ก็ลองดูซิคะ อ.ธิดากล่าว