ความเจ็บปวด
บนเส้นทางสู่ประชาธิปไตย
19 พฤษภาคม 2553 ถึงวันนี้ครบรอบ 10 ปีเต็ม ที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
ร่วมกับพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรม
ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเพื่อเลือกตั้งใหม่
เพราะการได้มาซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาขาดความชอบธรรม
ที่วิญญูชนทั่วไปสามารถที่จะรับรู้ได้ว่ามีการสมคบคิดกันนอกระบบของเครือข่ายกลุ่มบุคคลฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกับรัฐบาลของนายสมชาย
วงศ์สวัสดิ์ ได้จัดแถวลงขันแบ่งงานกันทำอย่างเป็นระบบในการโค่นล้มรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ
โดยการชุมนุมปิดทำเนียบปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรฯ
การเข้ามาแทรกแซงกดดันของผู้นำเหล่าทัพอย่างชัดเจน
ออกรายการโทรทัศน์เรียกร้องให้นายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออก
การย้ายพรรคของส.ส.พรรคเพื่อไทยกลุ่มหนึ่งที่มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันทางการเมืองอย่างมีเงื่อนงำเพื่อไปยกมือสนับสนุนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ กรรมชี้เจตนาให้เห็นอย่างชัดเจนในทุกเรื่องราว
หลักการประชาธิปไตยและเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่จากผลการเลือกตั้งได้ถูกทำลายลง
แต่ด้วยความเกลียดชังของคนในชาติระหว่างกันมันได้เกาะกินตรรกะเหตุผลของผู้คนนักวิชาการปัญญาชนบางส่วนไปมาก
กลุ่มอนุรักษ์นิยมและชนชั้นนำก็ต้องการรักษาสถานภาพการได้เปรียบของกลุ่มตนในสังคมเอาไว้อย่างเหนียวแน่นโดยไม่สนใจวิธีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามครรลองประชาธิปไตยแต่อย่างใด
มันถึงคราวที่สังคมไทยได้เดินทางมาถึงช่วงเวลา"วินาศกาเลวิปริตพุทธิ"
จริง ๆ และได้ส่งผลร้ายมาถึงทุกวันนี้ การชุมนุมใหญ่ของนปช.จึงได้เกิดขึ้น
ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553
เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลในขณะนั้นยุบสภา
แต่กลับถูกรัฐบาลใช้กำลังทางทหารล้อมปราบโดยใช้อาวุธหนัก หน่วยแม่นปืน
รถยานยนต์หุ้มเกราะเข้าปฏิบัติการด้วยความรุนแรง
และมีการอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงยิงประชาชนได้
จนทำให้ผู้ร่วมชุมนุมบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
ไม่เว้นแม้กระทั้งพยาบาลอาสาที่เข้าไปพึ่งพาอาศัยวัดที่เป็นเขตอภัยทาน
นี่คือบาดแผลที่เจ็บปวดมาจนถึงทุกวันนี้
ขบวนการทำลายความชอบธรรมการชุมนุมของนปช.ก็ยังถูกปฏิบัติการทางสงครามข่าวสารทำลายความชอบธรรมอยู่ตลอดเวลามาจนถึงทุกวันนี้
ก็ยิ่งสร้างความโกรธเกลียดระหว่างกันให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
การปฏิบัติตามกฎหมายต่อประชาชนที่คิดต่างทางการเมืองก็ไม่เสมอภาคเท่าเทียมกัน
ยิ่งขยายความแตกแยกเจ็บลึกให้เกิดขึ้นกับผู้ถูกกระทำ
การยึดอำนาจทั้งสองครั้งในรอบสิบกว่าปี
ก็ได้ให้คำตอบเป็นอย่างดีแล้วว่าไม่ใช่การเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในชาติแต่อย่างใด
แต่เป็นการออกแบบวางแผนสมคบคิดแบ่งงานกันทำของฝ่ายชนชั้นนำโดยใช้กำลังทหารเป็นคำตอบสุดท้ายในการทำรัฐประหารให้ดูมีความชอบธรรมขึ้นเพื่อสถาปนา
รัฐราชการอนุรักษ์อำนาจนิยมขับเคลื่อนประเทศด้วยวิสัยทัศน์ของกลุ่มพลังอนุรักษ์นิยมเท่านั้น
ประชาชนและนักการเมืองก็เป็นแค่ไม้ประดับ
ผมเองได้ออกมาต่อต้านการรัฐประหารตั้งแต่มีสัญญาณไม่ดีต่อระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ปลายปี
2548 แล้ว เพราะไม่เชื่อในระบอบเผด็จการรัฐประหาร
ถ้าดีจริงประเทศไทยเจริญไปนานแล้ว บนเส้นทางสายนี้ติดคุกสองครั้ง
เกิดอุบัติเหตุถูกรถชนระหว่างเดินทางมาร่วมชุมนุมสองครั้ง
วันนี้จะตกยากลำบากอย่างไรก็จะยืนยงคงขุนเขาอยู่กับฝ่ายประชาธิปไตยต่อไป
และไม่เคยโกรธเกลียดใครเป็นตัวบุคคล แต่ไม่เอายึดอำนาจ ไม่เอาเผด็จการเป็นอันขาด
ใครจะชอบหรือไม่ชอบนายกฯ ทักษิณ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มันเป็นสิทธิเสรีภาพ
ไม่เคยโกรธเกลียดคนเหล่านั้น
แต่ถ้านำเอาความไม่ชอบบุคคลทั้งสองไปเป็นเหตุผลสนับสนุนการรัฐประหารหรือสนับสนุนเผด็จการ
นี่คือตรรกะวิบัติอย่างแท้จริง ซึ่งกำลังลุกลามอยู่ในสังคมไทยที่ถูกสอนให้เชื่อมากกว่าสอนให้คิด
ความแตกต่างหลากหลายไม่ใช่ความชั่วร้ายแต่เป็นความงดงามและเป็นเสน่ห์ของสังคม
ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ในสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น
ป่าไม้ที่สมบูรณ์แข็งแรงก็เช่นเดียวกันจะประกอบไป ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ
ฉะนั้นสถานีสุดท้ายของเส้นทางมนุษยชาติต้องเป็นสถานีประชาธิปไตยเท่านั้น
ผมไม่เคยเชื่อว่าป่าไม้เชิงเดี่ยวจะแข็งแรงทนทานอยู่ได้เมื่อโดนพายุและมรสุมหนัก
ที่สุดนี้ขอกราบคารวะจิตใจที่เสียสละของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทุกคนบนถนนสายนี้
วิภูแถลง
พัฒนภูมิไท
#10ปีพฤษภา53