วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

วิภูแถลง พัฒนภูมิไท : ความเจ็บปวด บนเส้นทางสู่ประชาธิปไตย


ความเจ็บปวด บนเส้นทางสู่ประชาธิปไตย

19 พฤษภาคม 2553 ถึงวันนี้ครบรอบ 10 ปีเต็ม ที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร่วมกับพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรม ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเพื่อเลือกตั้งใหม่ เพราะการได้มาซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาขาดความชอบธรรม ที่วิญญูชนทั่วไปสามารถที่จะรับรู้ได้ว่ามีการสมคบคิดกันนอกระบบของเครือข่ายกลุ่มบุคคลฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกับรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้จัดแถวลงขันแบ่งงานกันทำอย่างเป็นระบบในการโค่นล้มรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ โดยการชุมนุมปิดทำเนียบปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรฯ การเข้ามาแทรกแซงกดดันของผู้นำเหล่าทัพอย่างชัดเจน ออกรายการโทรทัศน์เรียกร้องให้นายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออก การย้ายพรรคของส.ส.พรรคเพื่อไทยกลุ่มหนึ่งที่มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันทางการเมืองอย่างมีเงื่อนงำเพื่อไปยกมือสนับสนุนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรรมชี้เจตนาให้เห็นอย่างชัดเจนในทุกเรื่องราว หลักการประชาธิปไตยและเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่จากผลการเลือกตั้งได้ถูกทำลายลง แต่ด้วยความเกลียดชังของคนในชาติระหว่างกันมันได้เกาะกินตรรกะเหตุผลของผู้คนนักวิชาการปัญญาชนบางส่วนไปมาก กลุ่มอนุรักษ์นิยมและชนชั้นนำก็ต้องการรักษาสถานภาพการได้เปรียบของกลุ่มตนในสังคมเอาไว้อย่างเหนียวแน่นโดยไม่สนใจวิธีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามครรลองประชาธิปไตยแต่อย่างใด

มันถึงคราวที่สังคมไทยได้เดินทางมาถึงช่วงเวลา"วินาศกาเลวิปริตพุทธิ" จริง ๆ และได้ส่งผลร้ายมาถึงทุกวันนี้ การชุมนุมใหญ่ของนปช.จึงได้เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลในขณะนั้นยุบสภา แต่กลับถูกรัฐบาลใช้กำลังทางทหารล้อมปราบโดยใช้อาวุธหนัก หน่วยแม่นปืน รถยานยนต์หุ้มเกราะเข้าปฏิบัติการด้วยความรุนแรง และมีการอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงยิงประชาชนได้ จนทำให้ผู้ร่วมชุมนุมบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ไม่เว้นแม้กระทั้งพยาบาลอาสาที่เข้าไปพึ่งพาอาศัยวัดที่เป็นเขตอภัยทาน นี่คือบาดแผลที่เจ็บปวดมาจนถึงทุกวันนี้

ขบวนการทำลายความชอบธรรมการชุมนุมของนปช.ก็ยังถูกปฏิบัติการทางสงครามข่าวสารทำลายความชอบธรรมอยู่ตลอดเวลามาจนถึงทุกวันนี้ ก็ยิ่งสร้างความโกรธเกลียดระหว่างกันให้เกิดขึ้นในสังคมไทย การปฏิบัติตามกฎหมายต่อประชาชนที่คิดต่างทางการเมืองก็ไม่เสมอภาคเท่าเทียมกัน ยิ่งขยายความแตกแยกเจ็บลึกให้เกิดขึ้นกับผู้ถูกกระทำ

การยึดอำนาจทั้งสองครั้งในรอบสิบกว่าปี ก็ได้ให้คำตอบเป็นอย่างดีแล้วว่าไม่ใช่การเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในชาติแต่อย่างใด แต่เป็นการออกแบบวางแผนสมคบคิดแบ่งงานกันทำของฝ่ายชนชั้นนำโดยใช้กำลังทหารเป็นคำตอบสุดท้ายในการทำรัฐประหารให้ดูมีความชอบธรรมขึ้นเพื่อสถาปนา รัฐราชการอนุรักษ์อำนาจนิยมขับเคลื่อนประเทศด้วยวิสัยทัศน์ของกลุ่มพลังอนุรักษ์นิยมเท่านั้น ประชาชนและนักการเมืองก็เป็นแค่ไม้ประดับ

ผมเองได้ออกมาต่อต้านการรัฐประหารตั้งแต่มีสัญญาณไม่ดีต่อระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ปลายปี 2548 แล้ว เพราะไม่เชื่อในระบอบเผด็จการรัฐประหาร ถ้าดีจริงประเทศไทยเจริญไปนานแล้ว บนเส้นทางสายนี้ติดคุกสองครั้ง เกิดอุบัติเหตุถูกรถชนระหว่างเดินทางมาร่วมชุมนุมสองครั้ง วันนี้จะตกยากลำบากอย่างไรก็จะยืนยงคงขุนเขาอยู่กับฝ่ายประชาธิปไตยต่อไป และไม่เคยโกรธเกลียดใครเป็นตัวบุคคล แต่ไม่เอายึดอำนาจ ไม่เอาเผด็จการเป็นอันขาด ใครจะชอบหรือไม่ชอบนายกฯ ทักษิณ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มันเป็นสิทธิเสรีภาพ ไม่เคยโกรธเกลียดคนเหล่านั้น แต่ถ้านำเอาความไม่ชอบบุคคลทั้งสองไปเป็นเหตุผลสนับสนุนการรัฐประหารหรือสนับสนุนเผด็จการ นี่คือตรรกะวิบัติอย่างแท้จริง ซึ่งกำลังลุกลามอยู่ในสังคมไทยที่ถูกสอนให้เชื่อมากกว่าสอนให้คิด

ความแตกต่างหลากหลายไม่ใช่ความชั่วร้ายแต่เป็นความงดงามและเป็นเสน่ห์ของสังคม ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ในสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น ป่าไม้ที่สมบูรณ์แข็งแรงก็เช่นเดียวกันจะประกอบไป ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ

ฉะนั้นสถานีสุดท้ายของเส้นทางมนุษยชาติต้องเป็นสถานีประชาธิปไตยเท่านั้น ผมไม่เคยเชื่อว่าป่าไม้เชิงเดี่ยวจะแข็งแรงทนทานอยู่ได้เมื่อโดนพายุและมรสุมหนัก

ที่สุดนี้ขอกราบคารวะจิตใจที่เสียสละของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทุกคนบนถนนสายนี้

วิภูแถลง พัฒนภูมิไท

#10ปีพฤษภา53