องค์กรนำการเคลื่อนไหวของประชาชนที่เป็นรูปการ
มีนโยบาย มีการนำการเคลื่อนไหวทั่วโลกและในประวัติศาสตร์นั้น
โดยทั่วไปจะดำรงอยู่ระยะสั้น ต่อสู้เป็นเรื่อง ๆ ถ้าไม่ชนะก็แพ้แล้วเลิกราไป ในเรื่องใหม่ ๆ วาระใหม่ ๆ ก็จะเกิดขบวนการใหม่
ชื่อใหม่ และผู้นำใหม่
นปช.
จัดว่าเป็นองค์กรเคลื่อนไหวมวลชนที่มีอายุนานมาก
(ค่อนข้างผิดธรรมชาติการต่อสู้ของประชาชน ยกเว้นขบวนการปฏิวัติที่มีพรรคปฏิวัตินำ)
13 ปี การต่อสู้ของ นปช.
กับระบอบอำมาตยาธิปไตยที่มีการทำรัฐประหารจากกองทัพช่วยเปิดทางและค้ำจุนระบอบ
ถือว่ายาวนาน
พรรคนายทุนที่เป็นปฏิปักษ์กับระบอบอำมาตย์อำนาจนิยมก็มีอายุยาวนาน
ผลัดเปลี่ยนชื่อ ไม่มีทีท่าว่าจะตาย กลับจะผลัดใบแตกกิ่งแตกสาขา นี่ต้องถือว่าเป็นคู่ต่อสู้กับระบอบอำมาตย์ที่แข็งแรง
ไม่แพ้ ไม่เลิกรา ในทางยุทธศาสตร์
ทบทวนว่าการเติบโตจากเครือข่ายต้านรัฐประหารปี
2550 พัฒนาไปสู่องค์กรที่มีหลักนโยบาย มีการนำระดับต่าง ๆ มียุทธศาสตร์
มีการบ่มเพาะมวลชนและสร้างแกนนำการนำทั่วประเทศ เกิดเป็นขบวนการใหญ่โต
การถูกปราบปี
2552 มาสรุปบทเรียนความไม่เป็นเอกภาพ พัฒนาในปี 2553 จนเกิดการชุมนุมขนาดใหญ่ยาวนานร่วม
2 เดือน มีขบวนแรลลี่เสื้อแดงเต็มท้องถนนในกรุงเทพฯ
เอาเป็นว่าคนมาเรียกร้องสันติวิธี มามากเท่าไหร่...รัฐบาลอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะและระบอบอำมาตย์ฯ ก็ไม่แยแส
เมื่อผ่านการปราบปรามเข่นฆ่าในปี
2553 อย่างโหดเหี้ยม มีคนตายบาดเจ็บมากที่สุดในประวัติศาสตร์การลุกขึ้นสู้ทางการเมือง
ตั้งแต่ในปี 2554 ก็มีการชุมนุมเคลื่อนขบวนกดดันตั้งแต่ปลายปี 2553
จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ยอมยุบสภาก่อนวาระ และการขับเคลื่อนในวาระครบรอบโศกนาฏกรรม
10 เมษา ถึง 19 พฤษภา จากทุกเดือนจนถึงทุกปี
ก็มีคนมารำลึกเป็นการชุมนุมขนาดใหญ่โดย ไม่มีการหนุนช่วยจากพรรคการเมือง
คนไม่ได้น้อย เพราะเป็นการชุมนุมโดยคนในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล
มาร่วมรำลึกไว้อาลัยเป็นหลัก เมื่อมีการเปิดโรงเรียนการเมือง นปช. ทั่วประเทศ
ประชาชนก็มากันคับคั่ง แม้จะเป็นบทเรียนซ้ำ ๆ เดิม
แต่เพราะเขาต้องการผ่าน.....โรงเรียน นปช.
การตรวจสอบการเลือกตั้งในปี
2554 เราใช้คนนับแสนคนตรวจสอบการเลือกตั้งทุกเขตเกือบทุกหน่วย
ยังมีการลงชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ นปช. ซึ่งต่างจากพรรคเพื่อไทย
ก็สามารถได้รายชื่อร่วมแสนภายใน 1 เดือน
(รวมสำเนาบัตรประชาชนและกรอกข้อมูลเสนอร่างรัฐธรรมนูญ) ทั้งการถอดถอนศาลรัฐธรรมนูญ
ประชาชนยังกระตือรือร้นร่วมทำงานการเมืองทุกรูปแบบ นี่เป็นด้านบวกและด้านเข้มแข็งของ นปช.
ในเวลาที่ดิฉันเป็นประธานจากปี 2553 – 2556 สิ่งสำคัญที่สุดคือการจัดงานการเมือง
งานปราศรัย และการเกิดองค์กรนำในแต่ละจังหวัดดำเนินไปคักคักมาก ส่วนกลางต้องขึ้นเวทีคืนละ
2-3 เวที เป็นต้น
นี่คือคำตอบที่ว่าหลังเหตุการณ์
เมษา – พฤษภา 2553 นปช. และมวลชนยังเข้มแข็ง อาจมากกว่าเดิมในแง่การนำ
การสร้างผู้ประสานงาน สร้างเครือข่ายแกนนำ นปช. ทั่วประเทศและในต่างประเทศ
รวมทั้งสื่อสารในเวทีโลก
แล้วด้านลบ
ด้านอ่อนล่ะ มีแน่นอน!
ท่ามกลางการชุมนุมเคลื่อนมวลชนขนาดใหญ่
มีการสนับสนุนจากส่วนต่าง ๆ ทั้งฟากการเมือง ฟากแนวร่วม และฟากมวลชน นั้น
1.
มีความหลากหลายในหมู่แกนนำและวิธีคิด วิธีทำงาน
ต่อให้มีหลักนโยบายและมีการนำค่อนข้างเป็นระบบ ก็มีการแตกแถว
มีเสรีชนที่ไม่ปฏิบัติตามแนวทางนโยบายในส่วนที่ร่วมด้วยช่วยนำกันเอง มีนักการเมือง
พรรคการเมือง และผู้หวังดีที่มีความคิดแตกต่างไป ทำให้เกิดปัญหาในยามวิกฤต
การต่อสู้ก็ทดสอบภาวะการนำ ทำให้สับสนในการขับเคลื่อนมวลชนและทิศทางการต่อสู้
ทั้งเฉพาะหน้าและระยะต่อ ๆ ไป เกิดมีภาวะไร้วินัยอยู่มาก
2.
การขับเคลื่อนขบวนการต่อสู้ของประชาชนขนาดใหญ่ที่ร่วมทางกับพรรคการเมืองขนาดใหญ่เช่นกัน
จึงไม่ง่ายเลย เพราะเป้าหมายทางการเมืองกับเป้าหมายการต่อสู้ของประชาชน
บางทีไม่ตรงกัน หลายครั้งข้อดีที่หนุนช่วยกันและข้ออ่อนที่เห็นแตกต่างกันในบางระยะ
จะมีผลสะเทือนใหญ่โตทั้งสิ้น เช่น
-
ปัญหา ICC
-
ปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ
-
ปัญหานิรโทษสุดซอย
สามปัญหานี้
นปช.
ยืนแตกต่างกับพรรคเพื่อไทยตั้งแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
(สสร.)
100% ตามสัดส่วนประชาชน
ปัญหานิรโทษกรรมสุดซอย ซึ่ง นปช. และคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ (เกือบทั้งหมด)
ไม่เห็นด้วยกับพรรคเพื่อไทย และปัญหาการเซ็นรับรองเขตอำนาจศาลโลก ICC เฉพาะกรณี 10 เมษา – 19 พฤษภา
ที่รัฐมนตรีต่างประเทศของพรรคเพื่อไทยไม่ยอมเซ็นอนุมัติให้ ICC เข้ามาดำเนินการ
เมื่อยอมรับด้านบวกได้
ก็ต้องยอมรับว่าจะมีด้านลบได้เช่นกัน
3.
ด้านลบอีกด้านคือ ขนาดใหญ่ของมวลชนที่ขับเคลื่อน ทำให้ นปช. เป็นเป้าหมายสำคัญที่ฝ่ายจารีตนิยม
อำนาจนิยม ต้องการทำลาย แกนนำก็ถูกควบคุม จับกุมคุมขัง คดีความมากมาย
เพราะแต่ละครั้งแกนนำต้องมอบตัว ยุติการชุมนุม เพราะทนเห็นประชาชนถูกฆ่ามากมายไม่ได้ แล้วที่สุดแกนนำก็ประสบชะตากรรม มีคดีความ
ต้องเข้าคุกกันเป็นลำดับ โดยฝ่ายผู้กระทำลอยนวล
นอกจากแกนนำสำคัญ
ๆ ถูกจ้องจัดการโดยฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย
ในฝ่ายเดียวกันก็มีความพยายามแย่งชิงมวลชน แย่งชิงการนำ โดยสร้างวาทกรรม “สู้แล้วรวย”
“สู้ไปกราบไป” ฯลฯ ในส่วนผู้เขียนก็ถูกปรามาสว่าเป็นผู้หญิง (แก่แล้ว)
เป็นนักวิชาการ ไม่มีประสบการณ์ขึ้นเวทีชุมนุม และขับเคลื่อนโดยเรียกร้องวินัย
และนโยบาย นปช. ก็ถูกข้อหาเผด็จการเพิ่มด้วย
(โดยเฉพาะการแย่งขึ้นเวทีปราศรัยเมื่อเห็นมีมวลชนมาก ๆ)
4.
ด้านลบอีกอย่างคือปัญหาพรรคการเมืองที่คนเสื้อแดงสนับสนุน ถ้ามีปัญหาการเป็นรัฐบาล
การดำเนินงานไม่เป็นไปตามที่มวลชนคาดหวัง มวลชนจะไม่พอใจทั้งพรรคและลามมา นปช.
เพราะมีแกนนำเข้าร่วมในรัฐบาล
26 พ.ค. 63
ยังมีต่อ...