ยูดีดีนิวส์
: 19 พ.ค. 63 ที่ห้องประชุมศูนย์ข่าวยูดีดีนิวส์
อดีตแกนนำนปช.ที่ขึ้นเวทีกล่าวต่อจากนายก่อแก้ว พิกุลทอง ก็คือนายพิพัฒน์ชัย
ไพบูลย์ ซึ่งห่างหายเวทีไปนานมาก วันนี้มีโอกาสได้มาพบพี่น้องร่วมอุดมการณ์
โดยนายพิพัฒน์ชัยได้กล่าวว่า
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ
พี่น้องผู้ร่วมชะตากรรมที่รักครับ เวลาเร็วนะ 10 ปี บางคนก็เจอกันเมื่ออายุ 20
ตอนนี้ก็ 30 แล้ว ซึ่งเถียงไม่ได้เลย
แต่ผมก็ยังยินดีแล้วก็ยังมีความขอบคุณในน้ำใจของพี่น้องประชาชนจริง ๆ
ซึ่งประชาชนตาดำ ๆ เป็นนักต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์บางคนที่อ้างตัวเองว่าเป็น “แกนนำ”
แล้วก็ทิ้งประชาชน ข้ามศพไปอยู่ใต้ท๊อปบู๊ท ซึ่งพวกเราเองพูดอยู่ตลอดเวลาว่า คำว่า
“แกนนำ” มันไม่ได้มีความสำคัญมากกว่า “หัวใจที่นำ” และพวกท่านเองก็นำมาตลอด
แล้วก็สู้กันมาตลอดจนถึงวันนี้ ผมเห็นแล้วผมก็ยังรู้สึกเหมือนกันว่า...แล้วจะสู้กันเพื่ออะไร?
จนวันนี้ก็ยังคิดไม่ออกว่า
หลายคนถามผมนะครับว่าแล้วเมื่อไหร่เราจะมีวันชนะ ตอนอยู่เวทีผมก็พูดเล่น ๆ
อยู่เสมอครับว่าเรามีวันชนะ แต่มันกลายเป็น “วันชนะ เกิดดี” วันนี้ก็ไม่มี
แต่ในความเข้มแข็งของพี่น้อง ผมมั่นใจว่าแนวทางที่เดินอะไรก็แล้วแต่ถ้าเป็นแนวทางที่ถูกต้องผมยังมั่นใจว่าเราต้องชนะสักวันหนึ่ง
เพราะฉะนั้นให้เข้มแข็งเข้าไว้อย่างที่พี่ก่อแก้วว่า ให้พยายามหายใจเข้าไว้ อย่าพยายามไปเผากันวันต่อวันแล้วกัน
เมื่อสักครูนั่งอยู่ข้างในโน้นมีคนหนึ่งมาลาอาจารย์ธิดา บอกว่าขออนุญาตจริง ๆ
ต้องไปเผาเพื่อนสนิทเพราะตายแล้ว อย่ารีบตายกันไปไหนนะ รอกันก่อน
10
ปี ผมไปนั่งดูในเฟส ไปนั่งดูอะไรต่าง ๆ นานาแล้วเห็นภาพที่พวกเรานอนกันข้างถนน
เห็นภาพที่พวกเราแบ่งปันอาหารกินกัน เป็นภาพที่ยังประทับใจอยู่เสมอ
และผมเห็นว่าความเข้มแข็งของเราในวันเวลาเราก็หลบบ้าง สู้บ้าง ผลุบบ้าง โผล่บ้าง
เป็นเรื่องปกติ แล้วก็วันนี้ดีใจ ถึงแม้ว่าจะได้รวมกันในสถานการณ์ที่จำกัด
แต่ว่าในสถานการณ์ที่จำกัดผมก็คิดว่าหลายต่อหลายคนก็มีความสบายใจ
ผมเองนั้นไม่ได้พูดเวทีเรื่องการเมืองมานานแล้ว
และก็ไม่อยากจะพูด เพราะพูดแล้วติดคุกทุกที ก็เลยไม่อยากจะพูด
แต่เมื่อวานซืนมันมีความจำเป็นอยู่เอง ผมก็ไม่อยากจะเอ่ยชื่อเขาแหละ
ก็เห็นมาด่าแต่พวกนปช. ๆ ตอนที่อยู่นปช.เป็นคนห้าวหาญ ใจเด็ด ใจกล้ามาก
เดินตามหลัง “ณัฐวุฒิ” นี่ต้อย ๆ หมายความว่าเข้าห้องน้ำแทบจะเอาทิชชู่ให้ก็แล้วกัน
แต่พอออกไปแค่นั้นแกไม่รู้ไม่มีอะไรจะเล่น วัน ๆ ด่าแต่แกนนำนปช. ด่าแต่ “ณัฐวุฒิ”
ผมก็เลยบอกว่าในฐานะที่เคยกินข้าวด้วยกัน เคยอยู่ด้วยกัน ผมเคยขอร้องเขานะครับว่า “พี่พอเหอะ”
ตอนไปงานศพ “ปู่ชัย” (ชัย ชิดชอบ) บอก “พี่พอเหอะ”
คือพูดเรื่องอื่นได้ร้อยแปดพันเก้า แล้วเรื่องที่บอกจะแฉ ๆ ๆ ๆ แฉซะทีเถอะ
มีอะไร...น่ารำคาญ ก็จะแฉอยู่นั่นแหละ แต่มันไม่มีอะไรหรอกฮะ
ก็คือสร้างประเด็นข่าว
ผมไม่ได้เอ่ยชื่อใครนะเพราะตัวแกเองแกพูดกับผมตรง
ๆ ต่อหน้าศพในคืนวันนั้นเลย แกบอกแกอยากเป็นโฆษกรัฐบาล ถ้าแกไม่มีข่าว
แกไม่เป็นประเด็นข่าว แกก็ไม่มีหน้าสื่อ แล้วก็ลูกพี่คนใหม่แกอาจจะไม่เห็นผลงาน เพราะฉะนั้นเราอย่าไปถือสาเรื่องนั้นเลยนะ
เราย้อนกลับไปที่ว่า
10 ปีที่เราสู้กันเนี่ย ทุกอย่างจะคัดกรองเองหมดว่าใครเป็นอย่างไร
วันนี้อย่างที่พี่ก่อแก้วว่า โอเค ถ้าไปอยู่ในฝ่ายเดียวกันก็ยังพอรับได้ แล้วไม่ด่ากันเองยิ่งรับได้ใหญ่ครับ
แต่นี่นอกจากไม่อยู่ฝ่ายเดียวกันแล้ว ยังทะลึ่งเสือกมาด่าเราอีกด้วยนี่
ซึ่งมันรับไม่ได้
เพราะฉะนั้นยืนกันเข้าไว้ครับ
ให้แข็งแรงเข้าไว้ 10 ปี ผมก็คิดว่าในขณะ 10 ปีที่เราสู้มาได้จนถึงขั้นนี้ และเป็นกำลังใจมาถึงขั้นนี้แล้ว
ผมคิดว่า...ถามว่าคุ้มไหม? คุ้มกับในการต่อสู้
แต่สิ่งที่เราโชคดีที่สุด ผมติดคุกติดตาราง พวกเราติดคุกติดตาราง
ผมพูดเสมอว่า เขาถามว่ากลัวไหมติดคุก ผมบอกไม่กลัวแล้ว ตอนแรกกลัวครับ
เข้าคุกวันแรก ๆ ไปเจอนายหัววีระ ผมก็นอนร้องไห้ นายหัววีระบอก
โอ้ย...คนจะเป็นใหญ่เป็นโตติดคุกแล้วร้องไห้ เป็นใหญ่เป็นโตไม่ได้หรอก
เวลาฝนตกแล้วคิดถึงบ้านนะนอนอยู่ในคุก แล้วพอถึงเวลาเข้าพรรษา
นายหัววีระก็ประกาศ...พวกเราเอาอย่างนี้แล้วกันต่อไปนี้สามเดือนเข้าพรรษาเรางดไม่เยี่ยมญาติ
ผมนึกในใจ...เอาจริงเหรอ เพราะนายหัวแกมีประสบการณ์ติดคุกมาห้ารอบแล้วตอนนั้น
แต่ผมยังไม่มีสักรอบหนึ่ง
ก็เลยเกิดว่าเมื่อเราเดินมาถึงวันนี้ถามว่าวันนี้
ผมเองก็คิดเหมือนกันนะว่า คนที่ไปแล้ว มาพูดถึงกระบวนการ ถ้าพูดตัวบุคคลระหว่างตัวบุคคล
คุณโกรธใคร เกลียดใคร คุณรักใคร คุณมีเรื่องกับใคร คุณก็ว่าเรื่องส่วนตัวไปเลย
แต่ว่าพอมาถึงว่าเป็นเรื่ององค์กรผมว่าคนนั้นใจดำอำมหิตมาก ผมอยากเอาภาพให้ดู
ว่านี่คน ๆ หนึ่งโกนหัวโล้นประท้วง แล้วไปกราบศพอยู่เนี่ย แล้วตอนนี้ไปกราบ รองเท้าท็อปบู๊ทอยู่เนี่ย...มึงคิดยังไง?
คิดยังไง? ผมอยากเอาภาพนั้นมาให้ดูจริง ๆ แล้วมีจริง ๆ ครับ แล้วยืนบนเวที ศพพี่น้องเราตาย
ยืนจับ แกล้งจะร้องไห้ จะแกล้งจริงหรือเสแสร้งโดยสันดานผมก็ไม่รู้
ผมอยากเอาภาพนั้นมานะ
แต่ว่าพี่น้องที่เคารพครับ
10 ปีนี้คุ้มกับการต่อสู้ แต่ 10 ปีนี้เป็นความเสียดายที่เราต้องสูญเสียพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์
พวกผมติดคุกผมบอกว่ายังมีโอกาสที่จะกลับไปเจอลูกเจอเมีย
แต่ว่าพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กับเราแล้วเขาตาย...เขาไม่มีโอกาสอีกแล้ว
ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าบังเอิญว่าเขาตายก่อนผมแล้วเขาไปเจอพี่น้องเราที่เหล่านั้น
เขาจะพูดยังไง? แล้วถ้าไปถึงเขาจิกหัวถาม...ทำไมมึงทำอย่างนี้
แล้วเป็นผีรุ่นน้องอย่างนี้...เขาตบกะบาลแน่เลยผมว่า แต่ถ้าผมตายก่อนผมจะบอกผีรุ่นพี่ว่า...ถ้าไอ้นี่มา...อย่าไปตบมัน...ปล่อยมันเฉย
ๆ เดี๋ยวมันก็ตายเองอีก
เพราะฉะนั้นให้ทุกคนได้สบายใจได้ครับ
แล้วต่อไปผมคิดว่าเราเมื่อมีโอกาสได้พูดคุยกันบ้าง ได้ทำความเข้าใจกันบ้าง
พวกผมเองก็เอาใจช่วยครับ เอาใจช่วยรัฐบาล...ว่าให้อยู่รอด ให้ประชาชนอยู่รอดนะครับ
เพราะว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมเอาใจช่วยอยู่ตลอดครับ
แต่ดูท่าทางว่ารัฐบาลน่าจะอยู่รอด แต่ประชาชนน่าจะไม่รอด
แม้กระทั่งการแก้ปัญหาโควิด
แก้กันไปแก้กันมาไม่รู้แก้กันอีรุงตุงนังกันไปหมด ไม่มีหน้ากากอันไหนที่เกิดกรณีทุจริตในองค์กรเอกชนเลยครับ
กลายเป็นเกิดทุจริตในกระทรวงนั่นแหละ เมื่อพวกเราเดินมาถูกทางแล้วรับรองว่าไม่หลงครับ
ถ้าเดินไม่ถูกทางนี่ไปไม่ถูก แสดงว่าหลงไม่ถึงจุดหมายแน่นอน
วันนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุข
และขอให้ทุกท่านเข้มแข็ง หลายต่อหลายคนบอกมาในเฟสบอกว่าไม่สะดวกที่จะมาร่วม
แต่ว่าไปทำบุญแล้วนะ ไปใส่บาตรตอนเช้า ไปถวายสังฆทาน ทำเหมือนว่าญาติตัวเองตายในวันนี่
ทุกคนทำหมด ต้องขอบคุณในน้ำใจจริง ๆ ขอบคุณในมิตรภาพของพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมา
แต่ว่าในการต่อสู้ครั้งต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้นอีกก็ไม่รู้
แต่เราก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ เกิดความวุ่นวาย
ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่พี่น้องต้องบาดเจ็บล้มตาย ไม่อยากให้รัฐบาลกับภาคประชาชนต้องเข่นฆ่าหรือต้องสู้กัน
ถ้ารัฐบาลฉลาดพอ...ฟังเสียงประชาชน
และประชาชนเองเขาก็ไม่ต้องการที่จะแข่งกับใครหรอกครับ
ถ้าทุกอย่างมันเป็นไปด้วยความยุติธรรม เขาจะออกกันมาทำไม หนีสามี หนีเมีย มากัน
เขาไม่ออกมาหรอกครับ มานอนข้างถนนทำไมครับ
เพราะฉะนั้นวันนี้ก็จะฝากถึงรัฐบาลว่าพวกเราพร้อมให้ความร่วมมือนะครับ
ถ้าท่านเห็นหัวประชาชนบ้าง สุดท้าย...เวรกรรมมีจริงครับ จริง ๆ ครับ
ผมเชื่อว่าเวรกรรมมีจริง สุดท้ายของสุดท้าย ตอนที่เราอยู่หลังเวทีกัน
มีคนแต่งตัวดี ๆ คนรวย ๆ เยอะครับตอนนั้น แต่ตอนนี้คนจนแล้วทั้งนั้นแหละครับ
มีคนรวย ๆ แต่งตัวดี ๆ แล้วมาพูดกับผมเลยครับ นี่เธอ..รู้มั้ยเธอ
ฉันอยู่ที่บ้านฉันจะกินอะไรฉันชี้มือสั่งลูกน้องเลยนะ สามีฉัน..ฉันก็ไม่เคยทำให้กินนะ
แต่ทำไมฉันต้องมาหากับข้าวกับปลาให้พวกเธอกิน นี่จริง ๆ ครับ หลังเวที ทีนี้เวรกรรมมีจริงครับ
เกิดถึงเรื่องโควิดครับ ผมตื่นตีสี่นะครับ ไปจ่ายตลาด ไปซื้อกับข้าว
แล้วมาทำกับข้าวแจกชาวบ้านครับ ผมก็เลยนึกถึงว่าอ๋อแสดงว่าเวรกรรมมีจริง
ตัวเองอยู่บ้านไม่เคยตื่นตีสี่เหมือนกัน
แต่พอมีโควิดตื่นตั้งแต่ตีสี่ไปซื้อกับข้าว ซื้อโน่น ซื้อนี่ มาทำกับข้าวแจกให้ชาวบ้าน
ตอนที่อยู่หลังเวทีเขาทำให้เรากินฟรีมาเยอะ
เพราะฉะนั้นพอโควิดก็ใช้เวรใช้กรรมไปเนอะ ช่วย ๆ กัน
ก็ขอให้ทุกท่านแข็งแรงเข้าไว้
แล้วก็ไม่ต้องห่วงพวกผม โดยเฉพาะคุณณัฐวุฒิไม่ต้องห่วงครับ ตัวณัฐวุฒิเองถึงมีคดีแต่พยายามจะไม่ติดคุกถ้าไม่จำเป็น
ขอบคุณนะครับ นายพิพัฒน์กล่าวในที่สุด